posttoday

‘VIBHA’ ปรับวิภาราม ดันเข้าตลาดหุ้น

24 ตุลาคม 2559

โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง

โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง

โรงพยาบาลวิภาวดีคงนโยบายระมัดระวังในการขยายงาน ท่ามกลางกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่แข่งกันโต

พิจิตต์ วิริยะเมตตากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ว่า บริษัทมีนโยบายในการดำเนินงานแบบอนุรักษนิยมที่ค่อยๆ เติบโต โดยวางแผนการเติบโตทุกปีไว้ที่กว่า 10% ถ้ามีโอกาสซื้อกิจการหรือร่วมทุนได้ก็จะทำ

ล่าสุด เพิ่งไปซื้อหุ้นโรงพยาบาลบางโพ 1 ล้านหุ้น มูลค่า 300 ล้านบาท หรือเข้าไปถือหุ้น 30% เพราะมองว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ เป็นทำเลที่ดี มีรถไฟฟ้า และประชากรจะหนาแน่น แม้จะมีผลขาดทุนสุทธิ 20 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องของต้นทุนทางการเงินที่มีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูงคือ 30 ล้านบาท เมื่อเข้าไปล้างเงินกู้จากนั้นก็จะไม่มีดอกเบี้ยอีกต่อไป

จากนั้นจะเป็นการต่อยอดทางธุรกิจกันระหว่าง VIBHA กับบางโพ ที่จะช่วยในการกระจายหรือบริหารต้นทุนเฉลี่ยให้มีประสิทธิภาพขึ้น และจากนี้ไปเมื่อเป็นกลุ่มโรงพยาบาลเดียวกันแล้ว ถ้าอนาคตมีการขยายตัว โรงพยาบาลบางโพก็จะสามารถกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยระดับเดียวกันกับในกลุ่ม

“นักวิเคราะห์บางแห่งอาจจะมองว่าบริษัทซื้อในราคาที่แพง แต่บริษัทเพิ่งเข้า ตลท.มาราคามูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท แต่ราคาที่เสนอขายผู้ลงทุน 16 บาท แต่ที่บางโพ พาร์ 100 บาท เราซื้อ 300 ล้านบาท โดยส่วนต่างของมูลค่าหุ้นก็ได้จ่ายเข้าไปให้บริษัท ซึ่งไม่ได้จ่ายเข้าผู้ถือหุ้นหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะถ้าเอาส่วนต่างราคาหุ้นไปจ่ายให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะแพง อีกทั้งบางโพจะได้มีเงินไปลงทุนต่อได้ทันที เพราะที่บางโพยังมีพื้นที่เปล่าที่รอการพัฒนา จากที่ตอนนี้อยู่ระหว่างการเพิ่มเตียงผู้ป่วยอีก 40-60 เตียง จากปัจจุบันอยู่ที่ 100 เตียง”

ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มรับรู้กำไรจากโรงพยาบาลบางโพได้ในไตรมาส 4 เพราะจะมีเงินไปจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ แต่กำไรอาจจะนิดเดียว โดยคาดว่าปี 2560 รายได้ของบางโพมีโอกาสเติบโตได้ 20% จากนี้ไปจะมีการบริหารจัดการแบบโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่าย ต้นทุนในการสั่งอุปกรณ์ บุคลากร จะเกิดผลแบบประหยัดต่อขนาดได้มากขึ้น ซึ่งจะเกิดกลยุทธ์การทำงาน จะเกิดอะไรมากขึ้น ต้องรอหลังจากที่บริษัทจะส่งกรรมการไปที่นั่น 2 คน แต่มั่นใจว่าการที่บริษัทเน้นเฉลี่ยต้นทุนจากที่มีเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพทำให้มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ 10-15% ซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจแล้ว โดยปัจจุบันอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ 12%

บริษัทอยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ 3-5 ปี จากเดิมมองว่า 1 ปีจะต้องมีโรงพยาบาลใหม่เข้ามา 1 &O5532;แห่ง แต่ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะแยกโรงพยาบาลวิภารามไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษายังไม่ได้ข้อสรุป

“คาดว่าจะนำโรงพยาบาลวิภารามจดทะเบียนเข้า ตลท.ได้ภายใน 3-5 ปี แต่ถ้าจะให้วิภารามต้องมาแบกบริษัทลูกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะไม่มีวันเข้าจดทะเบียนได้แน่นอน เนื่องจากปกติการสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่จะฉุดกำไรลงไปอีก เพราะปีแรกต้องขาดทุนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำถัดจากนี้คือต้องหาพี่เลี้ยงในนามบริษัทใหม่ที่จะมาถือบริษัทลูกที่มีกว่า 8 แห่ง และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอีก และเมื่อนำบริษัทที่มีกำไรเข้า ตลท.และสิ่งที่ขาดทุนออกไปแล้ว ผลที่ได้คือ VIBHA จะรับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นจากที่ถือหุ้นในโรงพยาบาลวิภาราม 40%”

VIBHA  ยังทำธุรกิจโรงพยาบาลเป็นหลักอยู่ ไม่มีการตั้งเป็นโฮลดิ้ง แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างที่จะทำให้แผนงาน 5 ปีของบริษัทมีการเติบโตและออกมาได้ตามที่วางเอาไว้ ตั้งแต่หนึ่งถ้าวิภารามเข้า ตลท. โดยเอาตัวขาดทุนออก วิภารามก็จะส่งกำไรที่มีมากอยู่แล้วให้กับบริษัทมากขึ้น สองโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้วก็มีการขยายงานตลอด เช่น โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม ก็เพิ่งขยายงานด้วยการสร้างอาคารพาณิชย์ทั้งหมด 12 อาคาร เพื่อแยกแผนกมาแต่ละอาคาร ขณะที่โรงพยาบาลลานนาเพิ่งเปิดตึกใหม่ไปเมื่อปีที่แล้ว แล้วตอนนี้มีการซื้อที่ดินก็จะทำเป็นอีกตึกหนึ่ง เพราะต้องการแยกประกันสังคมออกจากกลุ่มเงินสด และสามโรงพยาบาลวิภาวดีก็ได้ซื้อที่ดินตรงใบไม้ร่าเริงเพื่อขยายพื้นที่ ซึ่งตอนนี้ออกแบบเสร็จแล้ว เหลือเพียงการก่อสร้างภายใน 1-2 ปี

VIBHA มีจุดแข็งที่มีเครือข่ายของกลุ่มโรงพยาบาลผสมผสานระหว่างสัดส่วนคนไข้ที่จ่ายเงินสดอย่าง VIBHA โดยฐานลูกค้าจะเป็นกลุ่มบีบวกขึ้นไป กับคนไข้ที่เป็นประกันสังคมและบัตรทองของเครือวิภารามที่เป็นระดับบีและซีบวกขึ้นไป

สำหรับตลาดต่างประเทศปัจจุบันมีการรุกขยายในประเทศกัมพูชา เมียนมามากขึ้น โดยเน้นการนำแพทย์ไปร่วมจัดสัมมนา แต่ยังคงเป็นการใช้เอเยนซีในการติดต่อส่งต่อคนไข้มายังโรงพยาบาลเป็นหลักอยู่ โดยที่เมียนมาก็มีเคสคนไข้กลับมาเยอะ ทั้งนี้ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมที่จะไปตั้งโรงพยาบาลในต่างประเทศ เพราะวอลุ่มในการรักษาของคนไข้ต่างประเทศยังไม่ได้ในระดับเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ ขณะที่หากใช้เอเยนซีอยู่แต่มีวอลุ่มสูงและระยะเดินทางมาไทยเพียงกว่า 1 ชั่วโมง และโรงพยาบาลก็อยู่ใกล้กับสนามบินดอนเมือง การไปตั้งที่ต่างประเทศจะเป็นความเสี่ยงมากกว่า หรือถ้าจะไปต่างประเทศก็น่าจะไปในลักษณะเริ่มต้นของการทำเป็นคลินิกมากกว่า

“ปี 2559 คนไข้ต่างชาติโตขึ้น 40-50% แต่เพราะมาจากฐานคนไข้ต่างชาติที่ยังน้อยอยู่ ดังนั้นการโตแบบก้าวกระโดดจึงมีโอกาสสูง ปีนี้คาดว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะอยู่ที่ 3% จากปีก่อนอยู่ที่ 2% และตอนนี้กำลังจะรุกตลาดจีน โดยเฉพาะเรื่องของการมีบุตรยาก” พิจิตต์ กล่าว

ผลประกอบการปี 2559 เฉพาะโรงพยาบาลวิภาวดีแห่งเดียวมีรายได้เติบโตจากปีก่อน 30% มาจากจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้นและรายได้เฉลี่ยต่อหัวก็เพิ่มขึ้น

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอังคารที่ 16 ธ.ค. 68