ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์ "เริงชัย" พ้นวิบากกรรม
5ต.ค.เป็นวันปิดฉากคดีความทางเศรษฐกิจที่มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง
ต้องบันทึกไว้ว่า วันที่ 5 ต.ค. 2559 เป็นวันปิดฉากคดีความทางเศรษฐกิจที่มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย นั่นคือ คดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง เริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. เป็นจำเลย เรื่องละเมิด จากกรณีออกคำสั่งทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท (สวอป) เพื่อปกป้องค่าเงินบาท เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว ปี 2540 อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
คดีนี้เป็นอาฟเตอร์ช็อก หลังจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกจนเกิดหนี้เสียในธนาคารพาณิชย์ ตลาดหุ้นดิ่งเหว เกิดการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์อย่างมโหฬาร ซึ่งได้มีการยกให้เป็นต้นเหตุมาจากการที่ประเทศไทยเปิดให้ทำธุรกรรมบีไอบีเอฟ (กู้เงินต่างประเทศมาปล่อยกู้ในประเทศ) ธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์ล้มหลายแห่ง
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นเกิดการขาดดุลแฝด คือ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลงบประมาณนานติดต่อกันหลายปี แต่รัฐบาลใช้นโยบายกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ไว้ 27 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราที่แข็งค่าเกินพื้นฐานเศรษฐกิจ จึงเกิดการโจมตีค่าเงินจากกองทุนต่างชาติที่เข้ามาหาประโยชน์จากการเข้าซื้อขายเงินบาทล่วงหน้าจำนวนมาก ในช่วงเวลาดังกล่าว เริงชัย เป็นผู้ว่าการ ธปท. และทนง พิทยะ เป็น รมว.คลัง
ผลจากการต่อสู้เพื่อปกป้องค่าเงินบาท ได้ทำให้เกิดผลการขาดทุนมหาศาล ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศลดลงอย่างฮวบฮาบ บัญชีของ ธปท.ก็ขาดทุนหนัก จึงเกิดการไต่สวนหาความผิดว่าเกิดจากเหตุใด
ดังนั้น คดีความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจึงเกิดขึ้นในปี 2544 อัยการฝ่ายคดีแพ่งซึ่งรับมอบอำนาจจาก ธปท. และทุนรักษาระดับฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเป็นจำเลยเรื่องละเมิด ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีออกคำสั่งทำธุรกรรมสวอปปกป้องค่าเงินบาท
จนกระทั่งวันที่ 31 พ.ค. 2548 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้เริงชัยชำระค่าเสียหาย จำนวน 185,953,740,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับแต่วันที่ 24 มิ.ย. 2541 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ ธปท. แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 62,090,720 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทน ธปท. โดยกำหนดค่าทนายความ 5 แสนบาท
ทั้งนี้ ศาลได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าการกระทำของเริงชัยเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ และต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ทั้งสอง คือ ธปท.และทุนรักษาระดับฯ เพียงใด โดยศาลเห็นว่าเริงชัยเห็นปัญหาว่าระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงินที่ให้ค่าเงินบาทมีค่าเทียบค่าของสกุลเงินของประเทศคู่ค้าหลายสกุล มีสัดส่วนของสกุลเงินแต่ละสกุลเป็นสูตรแน่นอน ไม่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิจที่ใช้นโยบายเปิดเสรีทางการเงิน
นอกจากนี้ เริงชัยมีข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจการเงินของประเทศทั้งที่เป็นความลับและไม่เป็นความลับพร้อมบริบูรณ์ยิ่งกว่าผู้ใด ทำให้ต้องเป็นหลักและเป็นผู้ดูแลนโยบายด้านการเงินการคลังกับบริหารนโยบายดังกล่าวในฐานะผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศ และต้องทราบดีว่าทุนสำรองทางการมีความสำคัญกับเสถียรภาพค่าเงินบาทอย่างไร และการใช้ทุนสำรองทางการในการแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อซื้อเวลาและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนทุนสำรองทางการหมดไปทั้งจำนวนจะเกิดปัญหาความไม่เชื่อถือในค่าเงินบาท
โดยเมื่อ ธปท.เปิดเผยตัวเลขทุนสำรองทางการสุทธิและภาระการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในวันที่ 21 ส.ค. 2540 อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทต่อสกุลเงินต่างประเทศก็ลดค่าลงอย่างรุนแรง เกิดความเสียหายต่อฐานะทางการเงินของประเทศอย่างกว้างขวาง จึงรับฟังได้ว่าเริงชัยกระทำการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
เมื่อศาลแพ่งพิพากษาในปี 2548 เริงชัยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ พร้อมขอทุเลาการบังคับคดีโดยยังไม่ต้องนำเงินเกือบ 2 แสนล้านบาท มาชำระตามคำพิพากษาจนกว่าคดีนี้จะมีพิพากษาถึงที่สุด
เมื่อเริงชัยก็ยื่นต่อศาลปกครองฟ้อง คณะกรรมการทุนรักษาระดับฯ ผู้ว่าการ ธปท. และผู้จัดการทุนรักษาระดับฯ ในความผิดกรณีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ แต่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้อง
ในขณะเดียวกันศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายกฟ้องให้เริงชัยไม่มีความผิดและไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด และทันทีที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาให้ยืนตามศาลอุทธรณ์คือยกฟ้องเริงชัยก็พ้นมลทินจากความผิดที่ติดตัวมานานถึง 15 ปี ถือเป็นการปิดฉากคดีประวัติศาสตร์เศรษฐกิจลงอย่างสมบูรณ์


