posttoday

อี-เพย์เมนต์ต่างชาติลุยไทยหวั่นรายได้ไหลออกนอกประเทศ

30 กันยายน 2559

ด้วยอัตรานักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยในปีที่ผ่านมากว่า 8 ล้านราย และคาดว่าในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 ล้านราย ทำให้ผู้ให้บริการด้านเพย์เมนต์ของจีน มองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้ามาเสริมช่องทางการใช้จ่ายของชาวจีนเพื่อเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนกลับประเทศมากขึ้น

โดย..ทีมข่าวธุรกิจตลาดโพสต์ทูเดย์

ด้วยอัตรานักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยในปีที่ผ่านมากว่า 8 ล้านราย และคาดว่าในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 ล้านราย ทำให้ผู้ให้บริการด้านเพย์เมนต์ของจีน มองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้ามาเสริมช่องทางการใช้จ่ายของชาวจีนเพื่อเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนกลับประเทศมากขึ้น รวมทั้งสร้างโอกาสเจาะลูกค้าไทยที่มีการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มอี-เพย์เมนต์สัญชาติจีนมากขึ้น


เซีย หลิงหยุน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการรับชำระเงินระหว่างประเทศ เทนเซนต์กรุ๊ป กล่าวว่า มูลค่าตลาดเทนเซนต์มีมากกว่า 9 ล้านล้านบาท หรือกว่า 2 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง (คิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญฮ่องกงต่อ 4.50 บาท) จำนวนผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่น วีแชทกว่า 8,060 ล้านราย และมีการเปิดใช้งานแอพมากกว่า 50 ล้านครั้ง/เดือน ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 13-15%

การใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นของ วีแชทในจีน ทำได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปประเทศต่างๆ จะมีการใช้จ่ายที่สูงมาก การพัฒนาฟีเจอร์ให้ลูกค้าสามารถใช้จ่ายผ่านมือถือได้ทั่วโลก จะช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่ร้านค้าในแต่ละประเทศเข้าถึงลูกค้าชาวจีนมากขึ้น รวมทั้งมีรายได้หมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไบร์ท กล่าวว่า การร่วมมือกับวีแชทเพย์ในครั้งนี้ จะช่วยให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทยที่มีกว่า 8 ล้านราย มีมูลค่าการใช้จ่ายกว่า 4.2 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่ง 10% จากยอดใช้จ่ายรวมของนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทย

"มูลค่าการใช้จ่ายต่อหัวของคนจีนที่มาไทยอยู่ที่คนละ 5.2 หมื่นบาท บริษัทต้องเร่งหาร้านค้าเข้ามาในระบบให้ได้ 3,000-5,000 ราย ภายในปีหน้า โดยจะเน้นธุรกิจย่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้งใน กทม.และหัวเมืองใหญ่ก่อน" ปรเมษฐ์ กล่าว

เปรมชัย กุศลฤกษ์ดี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไบร์ท กล่าวเสริมว่า เดิมการใช้จ่ายผ่านวีแชทเพย์ในไทย เป็นรูปแบบที่ผิดกฎหมาย คือ ไม่ได้ผ่านระบบของทางธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ภาครัฐควบคุมการใช้จ่ายได้ยาก การที่แอสเซทไบร์ท ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และมีการจดทะเบียนอี-เพย์เมนต์อย่างเป็นทางการ จะช่วยให้ภาครัฐและกระทรวงการท่องเที่ยวควบคุมการใช้จ่ายในประเทศให้ถูกต้องมากขึ้น

เดิมบริษัทมีเอบีซีเพย์เมนต์ให้บริการในเรื่องการจ่ายชำระบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่แล้ว การเพิ่มบริการวีแชทเพย์เข้ามาจะช่วยเพิ่มรายได้ใหม่ๆ แต่ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนรอการอนุมัติหลังยื่นเอกสารเพิ่มเติมกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยให้เรียบร้อยก่อน คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้จริงไตรมาส 4 ของปีนี้

การใช้งานอี-เพย์เมนต์ของคนไทยยังมีไม่ถึง 1% ในขณะที่การใช้จ่ายผ่านมือถือของคนจีนมีมากกว่า 10% ทำให้เป็นโอกาสที่จะเข้ามาเสริมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวสะดวกขึ้น โดยร้านค้าที่เข้าใช้งานระบบจะได้รับเงินในวันถัดไป เพราะยอดเงินต้องส่งไปที่ระบบเพย์เมนต์กลางของวีแชทก่อน จากนั้นค่อยส่งกลับมาที่ระบบของบริษัทและโอนเข้าไปยังบัญชีของร้านค้า ซึ่งบริษัทจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการใช้งานของลูกค้า

ด้านของอาลีเพย์นั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางการจ่ายเงินที่เอื้อประโยชน์ให้แก่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยใช้จ่ายสะดวกมากขึ้นเช่นกัน โดยมีนักท่องเที่ยวที่ใช้งานอาลีเพย์กว่า 120 ล้านคน และอาลีเพย์มีการใช้งานแล้วกว่า 12 ประเทศ กว่า 3 หมื่นร้านค้า ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มนี้เน้นสนับสนุนทำธุรกิจแบบ O2O หรือออนไลน์ทูออฟไลน์ เพราะนักท่องเที่ยวทั่วโลกมีทั้งจ่ายผ่านร้านออฟไลน์กับผ่านมือถือออนไลน์

เช่นเดียวกับซัมซุง เกาหลีก็ได้ฤกษ์เปิดตัว ซัมซุงเพย์ ครั้งแรกในไทย เพื่อให้ผู้ใช้งานซัมซุงทั่วโลกใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กรธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า การเปิดให้บริการซัมซุงเพย์เป็นช่องทางชำระเงิน (เพย์เมนต์ แพลตฟอร์ม) ในไทย หลังจากเปิดให้บริการแล้วในต่างประเทศ มียอดชำระเงินผ่านช่องทางนี้แล้วกว่า 100 ล้านรายการ ถือเป็นอีกนวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกค้าใช้จ่ายง่ายขึ้น โดยมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงิน 6 ราย และห้างสรรพสินค้า เช่น กลุ่มสยามพิวรรธน์ และเดอะมอลล์ เข้าร่วม

ทั้งนี้ ซัมซุงเพย์จะไม่คิดค่าธรรมเนียมจากลูกค้าหรือพันธมิตรที่ให้บริการ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกบัตรเครดิตที่ทำกับสถาบันการเงินที่ร่วมบริการไปใช้ชำระเงินกับเครื่องรูดบัตรเครดิตแทนการพกบัตรหลายใบ

จากภาพรวมทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ช่องทางอี-เพย์เมนต์ต่างประเทศเริ่มเข้ามามีบทบาทในไทยมากขึ้น หากไทยไม่เร่งปรับตัวรับสังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society ภาครัฐไม่เร่งหาทางบริหารจัดการ หารายได้จากการเข้ามาตีตลาดของต่างชาติเหล่านี้ ก็จะยิ่งเสียรายได้ออกนอกประเทศมหาศาล

ข่าวล่าสุด

'นิวยอร์ก' คุมโซเชียล บังคับขึ้นคำเตือนอันตรายต่อสุขภาพจิตเยาวชน