เปิดตลาดยางฯRRM

การยางฯ ผนึก 3 ชาติอาเซียน ไทย-อินโดฯ-มาเลย์ เปิด “อาร์อาร์เอ็ม” ตลาดกลางยางพาราภูมิภาค

นายสุธี อินทรสกุล รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ในฐานะประธานคณะทำงานการจัดตั้งตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า การจัดตั้งตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาค หรืออาร์อาร์เอ็ม (รีจินัล รับเบอร์ มาร์เก็ต) ร่วมกันระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเปิดตลาดพร้อมกันในวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามมติที่ประชุมระดับรัฐมนตรีไตรภาคียาง (ไอทีอาร์ซี)

ทั้งนี้ แต่ละประเทศมีข้อกำหนด ระเบียบการซื้อขายยาง วิธีการซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมาตรฐานและชนิดของสินค้าร่วมกัน โดยคุณภาพสินค้าประเภทยางแผ่นรมควันใช้มาตรฐาน
กรีนบุ๊ก ส่วนยางแท่งใช้มาตรฐานสากลในการควบคุมคุณภาพ นอกจากนี้ยังได้กำหนดคุณสมบัติผู้ขายยางในตลาด จะต้องมีโรงงานในการผลิตยางแผ่นรมควันและยางแท่งที่ผ่านการอนุมัติรับรองจากตลาดยางสิงคโปร์ (SICOM)

สำหรับการทำธุรกรรมนั้น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องวางหลักประกันธนาคารในรูปของเงินสดหรือสินทรัพย์ คิดเป็น 20% ของมูลค่า กรณีของผู้ขายสามารถใช้ยางที่มีอยู่จริงในโกดังเป็นหลักประกันแทนเงินสดได้ การจับคู่สัญญาในระบบจะใช้วิธีการจับคู่โดยอัตโนมัติพิจารณาจากคำสั่งซื้อ-ขาย ที่มีการเสนอชนิดยาง ปริมาณยาง ท่าเรือส่งมอบตรงกัน รวมถึงราคา/กิโลกรัม ซึ่งมีมูลค่าเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ จะกำหนดให้มีการส่งมอบจริงภายใน 30 วันหลังจากการเปิดรับซื้อขายในระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาคอาร์อาร์เอ็มอย่างเป็นทางการในวันแรกพบว่าผู้ซื้อขายยางส่วนใหญ่จะเข้าสู่กระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกในตลาดเป็นหลัก โดยมีบริษัทเอกชนซึ่งอยู่ในรายชื่อการอนุมัติรับรองจากตลาดยางสิงคโปร์แล้ว 5 ราย คือ บีไรท์รับเบอร์ เซาท์แลนด์รีซอร์ซ Metalco Co., Ltd. Oriental Rubber Products Co. Ltd. และเซาท์แลนด์รับเบอร์ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของตลาดฯ รวมถึงกลุ่มสถาบันเกษตรกรที่สนใจเข้ามาขายยางในตลาดฯ อีก 4 ราย ได้แก่ ชุมนุมสหกรณ์จังหวัดตรัง กลุ่มเกษตรกรทำสวนธารน้ำทิพย์ กลุ่มเกษตรกรทำสวนควนเมา และสหกรณ์การเกษตรย่านตาขาว

“กยท.มั่นใจว่าการซื้อขายยางผ่านระบบตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาคจะเพิ่มโอกาสการหาตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการยางและสถาบันเกษตรกรได้ อีกทั้งยังเป็นการซื้อขายยางในราคาที่ยุติธรรม และผลักดันให้พัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรให้เกิดการรวมตัวกันแปรรูปยางที่มีคุณภาพ” นายสุธี กล่าว