ลงทุนสไตล์ ‘พิธาน’ ซีอีโอ KCE ได้ผลตอบแทน10-15%ต่อปี
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
การบริหารและจัดสรรเงินออมเพื่ออนาคตถือเป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนต้องทำเพื่อมีเงินไว้ใช้จ่ายสบายมือหลังเกษียณ
“พิธาน องค์โฆษิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ให้ความสำคัญกับเรื่องการออม ส่วนวิธีการบริหารเงินลงทุนในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ สถานะของบุคคล จำนวนหรืออัตราการเพิ่มของรายได้ในแต่ประเภทงาน หากเป็นผู้ทำธุรกิจเองอาจจะต้องออมถือเงินสดไว้ในสัดส่วนที่มาก กว่าคนที่ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ เพราะเจ้าของธุรกิจเองจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน พนักงานออฟฟิศมีรายได้ประจำทุกเดือนและมีโอกาสขึ้นทุกปี
ดังนั้น พนักงานบริษัทมีโอกาสออมในความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานระหว่างอายุ 20-30 ปี มีโอกาสในหน้าที่การงานจะเติบโตในอนาคต และหลังวัยเกษียณยังมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้รองรับด้วยหรือกองทุนเพื่อการเกษียณ อีกทั้งการลงทุนส่วนบุคคลของแต่ละคนต้องพิจารณาว่าในพอร์ตลงทุนแต่ละคนสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใดให้เหมาะสมกับรายได้ด้วย
“พิธาน” เล่าให้ฟังถึงการลงทุนของตัวเองว่าจัดสรรเงินออมด้วยการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง คือหุ้นเป็นหลัก ซึ่งเริ่มลงทุนมาประมาณ 3-4 ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80-90% ของเงินออมทั้งหมด และพอร์ตหุ้นแบ่งเป็นหุ้นในประเทศประมาณ 80-90% และต่างประเทศประมาณ 10-20% ส่วนที่เหลือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจส่วนตัว และถือเงินสด การจัดพอร์ตในรูปแบบนี้ที่ผ่านมาสามารถทำเฉลี่ยได้ประมาณ 10-15% ต่อปี
“ผมจัดสรรเงินลงทุนรูปแบบนี้สอดคล้องกับวงจรชีวิต (Life Cycle) เงินออมที่ลงทุนในหุ้นที่เสี่ยงสูงได้เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น หากเกิดความเสียหายกับเงินออม ด้วยวัย 34 ปียังไม่ได้รีบเกษียณ ทำให้การทำงานใน 20 ปีข้างหน้า ยังสามารถสร้างสะสมเงินออมขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ จากรายได้ที่เป็นเงินเดือนประจำ และมีโอกาสปรับขึ้นอีกเฉลี่ยประมาณ 5-6% ต่อปี อีกส่วนหนึ่งยังมีกองทุนสำรองเสียงชีพรองรับด้วย
ขณะที่หุ้นที่ลงทุนยังแบ่งระดับความเสี่ยงได้ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.หุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำคือหุ้นขนาดใหญ่ (บลูชิป) ที่มีโอกาสเติบโตสูงสัดส่วนประมาณ 40% เน้นในหุ้นกลุ่ม SET50 แม้ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นที่เสี่ยงสูง อาทิ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แต่หุ้นบลูชิปจะการจ่ายเงินปันผลที่มีความแน่นอนและมีความแกว่งของราคาน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น mai และยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล 2.หุ้นกลุ่มปันผลสัดส่วน 20-25% ส่วนที่เหลือกลุ่มที่ 3 เป็นหุ้นกลุ่มเก็งกำไรที่เน้นว่าต้องมีสภาพคล่องสูง อีกทั้งมีสตอรี่และมีพื้นฐานรองรับพอสมควร หากนับหุ้นทั้ง 3 กลุ่มที่ลงทุนทั้งหมดจะอยู่ในกลุ่ม SET100 สัดส่วนถึงประมาณ 95% และเลือกลงทุนโดยมีการวิเคราะห์รายตัวถึงปัจจัยพื้นฐานและผู้บริหารของบริษัทไม่ได้พิจารณาเป็นอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์การทำงาน ผมเห็นว่าอุตสาหกรรมมีผลกับหุ้นบ้าง แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับความสามารถของผู้บริหารและทีมงานที่ดี สามารถเทิร์น อะราวด์บริษัทได้แม้อยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมนั้นอยู่ในภาวะไม่ดี ยกตัวอย่าง การลงทุนหุ้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำคือหุ้นขนาดใหญ่บลูชิปที่มีโอกาสเติบโตสูง หุ้นบางตัวในหมวดธุรกิจสื่อ ที่มีผลประกอบการเติบโตดีต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี รวมถึงหุ้นบางตัวในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนหุ้นกลุ่มเก็งกำไรมีบางตัวที่ขายทำกำไรไปแล้วอยู่ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการประมูลใบอนุญาต (ไลเซนส์) 4จี ก่อนหน้านี้ได้เข้าไปซื้อลงทุนในช่วงราคาหุ้นลดลง แต่เห็นว่าปัจจัยธุรกิจของพื้นฐานบริษัทยังดีมากส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป เน้นในหุ้นบลูชิปที่มีพื้นฐานดี เพราะไม่ต้องการเสี่ยงมากจะเข้าลงทุนในช่วงราคาปรับลดลงแรงๆ จนมีอัตราราคากำไรต่อหุ้น (พี/อี) ที่น่าสนใจ อาทิ Walmart ทั้งนี้ส่วนตัวมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้างแต่ไม่ได้ลงทุนเพิ่ม
“ส่วนตัวผม ตอนนี้ลงทุนหุ้นได้สามารถเครียดกับมันได้ จึงไม่ได้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพราะให้ยิลด์ที่ต่ำมาก แต่คุณพ่อด้วยวัย 65 ปี และคุณแม่ผมแนะนำให้ลงทุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำให้ผลตอบแทนต่ำ แต่สม่ำเสมอเฉลี่ยทุกปีราว 2-4% ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน”
ด้านทองคำไม่ได้ลงทุนเพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เป็นที่พักเงิน ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง เช่นภาวะตลาดหุ้นไม่ดี หรือป้องกันเงินเฟ้อขึ้นกับจังหวะเวลาการลงทุน


