posttoday

บัตรเครดิตหลบไป จ่ายเงินง่ายๆ ไม่ต้องรูดปรื๊ด

27 สิงหาคม 2559

ทุกวันนี้ถ้าเปิดกระเป๋าเงินออกมาจะเห็นเลยว่า เต็มไปด้วยสารพัดบัตร ขณะที่เงินสดมีอยู่นิดหน่อยเท่านั้น

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

ทุกวันนี้ถ้าเปิดกระเป๋าเงินออกมาจะเห็นเลยว่า เต็มไปด้วยสารพัดบัตร ขณะที่เงินสดมีอยู่นิดหน่อยเท่านั้น เพราะจากการสำรวจของวีซ่า เมื่อปี 2558 พบว่า คนไทย (และคนในภูมิภาคเอเชีย) พกบัตรเครดิตและใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแทนเงินสดมากขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วจะพกบัตรเครดิตกันคนละ 2 ใบ  และมีเงินสดติดกระเป๋าลดลง

คนไทย 8 ใน 10 คน เชื่อว่า การพกเงินสดไม่ปลอดภัย

52% นิยมใช้บัตรในการชำระเงินมากกว่าการใช้เงินสด

เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่คนไทยมี “บัตรพลาสติก” ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็มรวมกัน 82,889,153 บัตร (ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2559) และมีมูลค่าการเบิกถอนเงินสดด้วยบัตรและใช้จ่ายผ่านบัตรรวมกันกว่า 1.16 ล้านล้านบาท

แต่เชื่อหรือไม่ว่า บัตรพลาสติก กำลังจะตาย

เพราะเราสามารถเบิกเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม ชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้า ได้โดยไม่ต้องพกบัตรให้หนักกระเป๋าอีกต่อไป

ต้องขอบคุณ e-Newsletter K-NOW ของธนาคารกสิกรไทย ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาบอกพวกเราว่า “หมดยุคพกบัตรรูดปรื๊ด” โดยอ้างความเห็นของผู้บริหาร VISA International ที่ให้สัมภาษณ์กับ qz.com เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา

ถ้าเราไม่อยากใช้เงินสดเพราะไม่ปลอดภัย และไม่ชอบพกบัตรพลาสติกให้หนักกระเป๋า ก็ต้องยกความดีความชอบให้เทคโนโลยีการชำระเงินในยุคดิจิทัล ที่จะทำให้การจ่ายเงินสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น แล้วถ้าไม่ใช้บัตร เราจะใช้อะไรได้บ้าง

มือ

ไม่ต้องพกบัตร ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร และไม่ต้องจำรหัส เพราะเราสามารถจ่ายเงินได้แค่ใช้ “มือ”

เมื่อไม่นานมานี้ วีซ่า จับมือกับ มอร์โฟ (Morpho) บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีระบุตัวตนและความปลอดภัย เพื่อนำเทคโนโลยีระบุตัวตน ด้วยการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ (Biometrics) มาต่อ
ยอดพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องรับชำระเงิน

เทคโนโลยีนี้จะสแกนลายนิ้วมือ 4 นิ้วของมือข้างหนึ่ง และนำไปเชื่อมโยงกับข้อมูลในบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของเรา เพราะฉะนั้น เพียงแค่ยกมือไปวางกับเครื่องรับชำระเงินตามร้านค้า หรือตู้เอทีเอ็ม เราก็สามารถจ่ายเงิน หรือเบิกเงินได้ภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ตา

ถ้าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ... “ม่านตา” จะเป็นกระเป๋าเงินของเรา

ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เราจะเห็นการใช้การสแกนม่านตามาเป็น “รหัสผ่าน” ปลดล็อกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการความปลอดภัยสูง เพราะม่านตาเป็นข้อมูลทางชีวภาพที่สามารถยืนยันตัวตนได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาปลอมแปลง

การชำระเงินโดยการสแกนม่านตา ได้รับความสนใจจากผู้ให้บริการชำระเงินระดับโลก อย่าง วีซ่า และมาสเตอร์การ์ด เพราะฉะนั้นในอนาคตเราก็ไม่ต้องพกบัตร ไม่ต้องใช้มือ แต่ใช้ดวงตา

ในบางประเทศเริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้แล้ว เช่น จอร์แดน (ในโครงการอาหารโลก ของสหประชาชาติ) นำเทคโนโลยีสแกนม่านตามาช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวสูญหาย ไม่ต้องจำรหัส ไม่ต้องกังวลคนมาขโมยเงินสด หรือบัตรเครดิต

นอกจากนี้ ผู้บริหารวีซ่า บอกว่า เรายังสามารถสั่งเบิกเงินสดล่วงหน้าได้ เพียงแค่กรอกจำนวนที่ต้องการใช้ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน จากนั้นก็ไปรับเงินได้ที่ตู้เอทีเอ็มที่มีเครื่องสแกนม่านตา

รถ

วีซ่า นำเทคโนโลยีการชำระเงินรูปแบบใหม่นี้มาโชว์ในงาน Mobile World Congress ปี 2558 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วีซ่า “เอาจริง” กับเทคโนโลยีนี้มากแค่ไหน แม้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ในช่วงการทดสอบความเป็นไปได้

แต่ถ้าเทคโนโลยีนี้เป็นจริงขึ้นมา เราจะสามารถจ่ายค่าน้ำมัน ค่าจอดรถ ค่าอาหาร (เหมาะมากสำหรับการสั่งอาหารแบบ Drive-thru ที่ขับรถเข้าไปสั่งสินค้าได้) โดยไม่ต้องลงจากรถ เพราะจะในรถของเราจะมีแอพพลิเคชั่นที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลบัตรเครดิตได้ เพียงแค่แตะหน้าจออุปกรณ์ที่ติดตั้งในรถไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ตู้เย็น

น่าจะถูกใจแม่บ้าน มากๆ ถ้า “ตู้เย็น” ของเราสามารถสั่งซื้อของกิน (และน่าจะรวมถึงของใช้) จากซูเปอร์มาร์เก็ตได้ เมื่อของในตู้เย็นใกล้จะหมด

เพราะในตู้เย็นจะมีระบบตรวจสอบข้าวของต่างๆ และส่งคำสั่งซื้อของไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเจ้าประจำ จากนั้นก็จะตัดเงินอัตโนมัติกับบัตรเครดิตที่เราผูกไว้ และเมื่อซูเปอร์มาร์เก็ตได้รับคำสั่งซื้อและยืนยันการชำระเงิน ก็จะมีบริการจัดส่งมาถึงหน้าบ้าน โดยอาจจะใช้บริการอูเบอร์ (UBer) ซึ่งจะเก็บค่าบริการขนส่งโดยการตัดบัตรเครดิตเช่นกัน

เสียง

คุณเคยคุยกับ Siri ไหม (หรืออาจจะเป็น GoogleNow หรือ Amazon Echo)

ถ้าเป็นสาวก Apple น่าจะเคยทดสอบความฉลาดของ Siri กันมาบ้างแล้ว (บอกได้เลยว่า บางที “ความกวน” ของ Siri ก็ช่วยแก้เบื่อได้เหมือนกัน)

แต่จริงๆ แล้ว Siri ทำอะไรได้มากกว่าแค่เพื่อนคุยแก้เหงา เพราะ Apple ตั้งใจให้เป็น “ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ” ที่สามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ส่งข้อความ โทรออก ตรวจสอบข้อมูลในปฏิทิน เพียงแค่เรา “ส่งเสียง” เท่านั้น

แต่ในอนาคต แอพพลิเคชั่นที่สั่งด้วยเสียง เช่น Siri, Google Now และ Amazon Echo จะช่วยจัดการเรื่องเงินให้เราได้อีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงิน

K-NOW ของธนาคารกสิกรไทย ยกตัวอย่างไว้ว่า เพียงแค่บอกว่า “Siri สั่งพิซซ่าให้ถาดหนึ่งจ้ะ” Siri จะส่งข้อมูลไปที่ร้านและตัดเงินจ่ายค่าพิซซ่าอัตโนมัติกับบัญชีบัตรเครดิตที่ผูกไว้

เพราะฉะนั้นเชื่อได้เลยว่า โปรแกรมอัตโนมัติ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “บอท” และ AI (Artificial Intelligence) ที่แปลเป็นไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์” จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยทางการเงินได้ในหลายๆ ด้าน

นี่ยังไม่นับรวมการชำระเงินด้วยสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รวมทั้ง “เครื่องประดับ” ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา แหวน แว่นตา และสายรัดข้อมือ ที่ทำได้แล้วในเวลานี้

แต่ต้องระวังไว้นิด เพราะในอีกฝั่งหนึ่งของความสะดวกสบาย คือ อันตรายจากการใช้ง่ายจ่ายคล่อง ที่อาจทำให้ใช้จ่ายเกินตัวได้ง่ายมากขึ้น

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์