posttoday

รู้จัก กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise)

13 กรกฎาคม 2559

โดย...ดร.ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์

โดย...ดร.ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์

Social Enterprise หรือที่เรียกกันว่ากิจการเพื่อสังคมหรือวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นกำลังได้รับความสำคัญมากขึ้น หลังคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการเพื่อสังคม รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์สำหรับบริษัทที่จัดตั้งกิจการเพื่อสังคมสามารถนำเงินลงทุนไปหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ อันเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลสนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจลักษณะนี้ในประเทศไทย

บทความนี้ผมไม่ได้มุ่งไปที่รายละเอียดการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแต่อย่างใด แต่อยากขยายความกิจการเพื่อสังคมให้เป็นแนวคิดสำหรับผู้ที่สนใจอยากเริ่มต้นครับ

รู้จักกิจการเพื่อสังคมแบบเร็วๆ

คำนิยามทั่วไปของกิจการเพื่อสังคมคือ “องค์กรที่เข้าไปแก้ปัญหาสังคมด้วยวิถีทางธุรกิจ” โดยส่วนตัวผมชอบนิยามแบบครบถ้วนของ ดร.อิงกริด เบอร์เค็ตต์ (Ingrid Burkett) แห่งสถาบัน KNODE ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งอธิบายว่ากิจการเพื่อสังคมเป็นองค์กรที่ (1) มีพันธกิจด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสร้างประโยชน์ให้สาธารณะหรือชุมชน (2) บรรลุเป้าหมายด้วยวิธีการค้า (3) มีรายได้หลักจากการค้า (4) นำกำไรกลับไปลงทุนต่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

ดังนั้น กิจการเพื่อสังคม จึงไม่ใช่องค์กรการกุศลหรือมูลนิธิ ซึ่งแม้จะมีเป้าหมายเพื่อสังคมแต่หารายได้จากการบริจาคหรือกิจกรรมระดมทุนเป็นหลัก และไม่ใช่องค์กรธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมในลักษณะ CSR (Corporate Social Responsibility) เพราะองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยพันธกิจการแก้ไขปัญหาสังคมโดยเฉพาะ

แล้วปัญหาสังคมที่ว่ามีอะไรบ้าง คำตอบคือเยอะมากครับ ทั้งเด็กด้อยโอกาส การทำทารุณกรรมเด็กและสตรี การทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น หนี้สินเกษตรกร การขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจชุมชน การทิ้งถิ่นฐานของคนท้องถิ่น การจำกัดโอกาสการหางานของผู้พิการหรือผู้ที่มีประวัติอาชญากรรม เป็นต้น

ปัญหาเหล่านี้มันดำรงอยู่ไปเรื่อยๆ เนื่องจากโลกที่ขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจในการแสวงหากำไรมักจะละเลยประเด็นเหล่านี้ เนื่องจากไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์ทางธุรกิจที่คุ้มค่า อย่างกรณีการจัดหางานนั้นก็มักเปิดโอกาสให้แรงงานมีฝีมือ มีคุณสมบัติดีๆ แต่มักละเลยการให้โอกาสผู้พิการหรือผู้ที่พ้นคุกได้มาพัฒนาฝีมือเพื่อให้กลับไปทำงานใหม่ ซึ่งว่ากันตามภาษาเศรษฐศาสตร์แล้วเรียกว่าเป็นความล้มเหลวของตลาด (Market Failures)

คำถามต่อมาคือแล้วคนคนหนึ่งจะหันมาทำธุรกิจเพื่อสังคมไปทำไม ตอบง่ายๆ ว่าทำไปเพื่อสังคมครับ การก่อตั้งกิจการเพื่อสังคมนั้นสิ่งสำคัญคือต้องเริ่มด้วยใจ ไม่ใช่การอยากสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดี กิจการเพื่อสังคมในช่วงที่ผ่านๆ มามักเกิดขึ้นจากการเล็งเห็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่างในวงการธนาคารพาณิชย์ที่ผมอยู่นั้น ตัวอย่างที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ กรามีนแบงก์ (Grameen Bank) ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.มูฮัมมัด ยูนุส (Muhammad Yunus) ชาวบังกลาเทศผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากการริเริ่มแนวคิดการให้สินเชื่อขนาดเล็กสำหรับชุมชนหรือไมโครเครดิต โดยสนับสนุนให้คนในชุมชนออมเงินทุกสัปดาห์แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย และนำเงินนั้นมาปล่อยกู้ให้กับคนภายในชุมชนด้วยกัน ทำให้ผู้ฝากและผู้กู้เข้าถึงแหล่งเงินได้ ตามแนวคิดว่ากรามีนแบงก์คือการเป็นธนาคารเพื่อคนจน (Banking for the Poor)

กิจการเพื่อสังคมที่ถือเป็นต้นแบบอีกแห่งหนึ่งคือ ทอมส์ (TOMS) ก่อตั้งโดย เบลค ไมคอสกี (Blake Mycoskie) โดยเริ่มจากการเห็นเด็กด้อยโอกาสในอาร์เจนตินาไม่มีแม้กระทั่งรองเท้าใส่เดิน จึงเรียนวิธีผลิตรองเท้าและนำออกขายด้วยนโยบาย One for One คือทุกๆ หนึ่งคู่ที่ขายได้ บริษัทจะนำรองเท้าคุณภาพดีๆ นี้หนึ่งคู่ไปมอบให้เด็กด้อยโอกาส หากมองในมุมองค์กรเพื่อแสวงกำไรทั่วไปแล้วก็คงคิดว่างานนี้เจ๊งแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่า TOMS สามารถสร้างผลกระทบทางสังคมด้วยการมอบรองเท้าไปแล้วกว่า 60 ล้านคู่ ตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งแปลว่าบริษัทสามารถขายรองเท้าไปกว่า 60 ล้านคู่เช่นกัน

หากใครมองว่ากิจการเพื่อสังคมมักมีศักยภาพต่ำก็ต้องคิดใหม่ เพราะ ดร.ยูนุส ยึดหลักการเพื่อคนจนนี้ขยายเข้าไปธุรกิจบ้านต้นทุนต่ำ โทรศัพท์เคลื่อนที่ราคาถูก รวมทั้งจับมือกับบริษัท Fast Retailing เจ้าของแบรนด์ Uniqlo ในการจ้างแรงงานท้องถิ่นผลิตเสื้ออีกด้วย ส่วน TOMS เองก็ขยายไปธุรกิจเครื่องแต่งกายอื่น อย่างแว่นตาและกระเป๋าสะพาย เพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านสายตา น้ำสะอาด การให้กำเนิดบุตรอย่างปลอดภัย รวมทั้งการลดปัญหาการวิวาทของวัยรุ่น

ตัวอย่างกิจการเพื่อสังคมในไทยก็มีมากมาย ได้แก่ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งฟื้นฟูสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมให้ชนกลุ่มน้อยรวมทั้งสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่ดอยตุง จ.เชียงราย นอกจากนี้ยังมีสยามออร์แกนิก ซึ่งร่วมมือกับเกษตรกรชุมชนในการปลูกข้าวแบบปลอดสารเคมี ทำให้คุณภาพขายข้าวได้ราคาดีขึ้นขณะที่ผลิตภัณฑ์ก็มีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค หรือร้านครอบครัวคนจับปลา ซึ่งถือกำเนิดมาจากกลุ่มเอ็นจีโอที่ต้องการยกคุณภาพชีวิตชาวประมง เป็นต้น

มาถึงตรงนี้ผู้ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากทำเพื่อสังคมบ้างนั้นผมก็ขอยินดีด้วย แนะนำว่าให้ศึกษาเพิ่มเติมด้านธุรกิจควบคู่กัน เพราะกิจการเพื่อสังคมจะไปไม่รอดหากทำธุรกิจไม่สำเร็จ อย่างน้อยลองศึกษาจากเอกสารชื่อ Using the Business Model Canvas for Social Enterprise Design ของ ดร.อิงกริด เบอร์เค็ตต์ พร้อมสมัครอีเมลรับข่าวสารจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ให้ความรู้ด้านกิจการเพื่อสังคม

บทความครั้งหน้าของผมในวันที่ 27 ก.ค. จะนำรูปแบบกิจการเพื่อสังคม ความท้าทายและโอกาสของ Social Enterprise มาเล่าให้ฟังครับ

ข่าวล่าสุด

สนง.สลากฯ ชูยุทธศาสตร์ปี 69 ลดสลากใบ เพิ่มสลากดิจิทัล–N3 คุมสมดุลตลาด