posttoday

อนาคตผลไม้ไทย...เสี่ยง?

08 พฤษภาคม 2559

การเข้ามากว้านซื้อผลไม้ในประเทศไทยของนักธุรกิจจีนผ่านผู้รวบรวมผลไม้คนไทยหรือที่เรียกกันว่า “ล้ง”

โดย...จักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์

การเข้ามากว้านซื้อผลไม้ในประเทศไทยของนักธุรกิจจีนผ่านผู้รวบรวมผลไม้คนไทยหรือที่เรียกกันว่า “ล้ง” เพื่อส่งออกไปประเทศจีนคึกคักมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2-3 ปีมานี้ โดยเฉพาะสวนผลไม้ใน จ.จันทบุรี และตราด เกษตรกรชาวสวนและผู้ค้าผลไม้ทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างร่ำรวยขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ธุรกิจผลไม้ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่มากกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท 

วุฒิพงษ์ รัตนมนต์ นายกสมาคมชาวสวนผลไม้ จ.ตราด และประธานสหกรณ์การเกษตรเพื่อการแปรรูปและส่งออกจังหวัดตราด เปิดเผยว่า หลังจากมีการเปิดการค้าเสรี พ่อค้าชาวจีนได้เข้ามาซื้อผลไม้ไทยในจันทบุรีและตราดอย่างเปิดเผยและเป็นทางการ ซึ่ง บริษัท ไทฮง เป็นพ่อค้าชาวจีนเจ้าแรกที่เข้ามา และเป็นรายใหญ่ที่สุดในขนะนั้น

“ผู้ค้าผลไม้ในภาคตะวันออกรู้จักไทฮงดี และพ่อค้ารับซื้อผลไม้ในภาคตะวันออกก็เป็นลูกค้าของไทฮงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลังจากจีนเปิดประเทศและมีการค้าเสรี ทำให้ผลไม้ของไทยส่งออกไปจีนอย่างมหาศาล และกลายเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะทุเรียนและมังคุด ซึ่งชาวจีนนิยมบริโภค ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเมืองไทยส่วนใหญ่ยังต้องมีทริปมากินทุเรียนด้วย”

วุฒิพงษ์ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ผลไม้ใน จ.ระยอง จันทบุรี และตราด ประกอบด้วย ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง รวมทั้งลำไย ซึ่งเริ่มปลูกมากในจันทบุรี และแต่ละปีมีปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาจะตกต่ำทุกปี ทำให้ทุกรัฐบาลต้องแทรกแซงราคาทุกปี ปีไหนแก้ไม่ได้ก็ถูกประท้วงกดดัน ปิดถนน หรือเทผลไม้ทิ้งเพื่อประท้วงจนเป็นปัญหาที่ซ้ำซาก และเป็นเรื่องปวดหัวของทุกรัฐบาล

อย่างไรก็ดี ต่อมามีภาคเอกชนในตราดจำนวนหนึ่งออกไปโรดโชว์สินค้าในประเทศจีนทุกปี ในหลายเมือง ทั้งคุนหมิง กว่างโจว ทำให้มีคำสั่งซื้อจำนวนมากขึ้นในปีต่อๆ มา โดยจีนมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นผลไม้ที่มีคุณภาพเท่านั้น

“หลังจากทำตลาดผลไม้ในจีนได้ไม่นาน ทำให้พ่อค้าส่งออกของไทยได้รับคำสั่งซื้อจากพ่อค้าชาวจีนโดยตรงและโดยอ้อม แต่ยังไม่ได้ตื่นตัวมากนัก เนื่องจากผลไม้ของเกษตรกรยังไม่มีคุณภาพมากนัก แต่ระยะหลังเริ่มผลิตได้คุณภาพเพื่อส่งออกมากขึ้น

“จากนั้นพ่อค้าชาวจีนเริ่มเดินทางมาสั่งซื้อผลไม้จาก 2 จังหวัดจำนวนมากขึ้น เพราะพ่อค้าจีนเหล่านี้มีเงินทุนมาก แต่ไม่มีความสามารถในการซื้อโดยตรง จึงทำสัญญาหรือมอบคำสั่งซื้อให้กับพ่อค้าคนกลางที่เป็นคนไทยรวบรวมผลผลิตให้ตามจำนวนที่ต้องการ จึงเป็นที่มาของ ‘ล้ง’”

วุฒิพงษ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ราคาผลไม้มีราคาสูงและไม่ตกต่ำอีกประการก็คือ พ่อค้าชาวจีนจำนวนมากที่ทุ่มเงินซื้อทุเรียนจาก 3 จังหวัดในภาคตะวันออกโดยผ่านล้งคนไทย อีกส่วนหนึ่งที่เดินทางมาซื้อโดยตรง และทำสัญญาซื้อขายกับทั้งเกษตรกรโดยตรงและสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ ซึ่งในตราดมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 1,000 ล้านบาท

“พ่อค้ารับซื้อที่เป็นชาวจีนไม่ได้มีการฮั้วราคากัน แต่ทำในลักษณะต่างคนต่างซื้อและบางครั้งก็แย่งกัน ทำให้ราคาทุเรียนไม่ตกต่ำ และยังมีความต้องการสูง ซึ่งวันนี้ทุเรียนของตราดน่าจะเกิน 50% ถูกส่งไปจีน และพ่อค้าชาวจีนก็ทำในลักษณะนี้ในจันทบุรีและระยองเช่นเดียวกัน

“อีกส่วนหนึ่งก็คือ สหกรณ์การเกษตรแปรรูปและส่งออกตราดที่ผมเป็นประธานอยู่ได้รับซื้อผลทุเรียนทุกเกรดมาแปรรูปเป็นทุเรียนแช่แข็งและรับซื้อในทุกขนาดในราคาถัวเฉลี่ย 50 บาท/กก. ซึ่งรับซื้อ 30-40 ตัน/วัน เดือนละ 1,000 ตัน ทำให้ตลาดทุเรียนยังมีความต้องการตลอดเวลา

“อีกทั้งทางสหกรณ์ได้ทำสัญญาขายทุเรียนแช่แข็งให้พ่อค้าชาวจีนมีประมาณ 2,000 ตัน (เนื้อ)/เดือน หรือคิดเป็นผลทุเรียนประมาณ 6000-7,000 ตัน จึงทำให้ทุเรียนยังเป็นที่ต้องการอยู่ ซึ่งเสมือนทำหน้าที่ล้งเช่นกัน”

สำหรับที่ จ.จันทบุรี เป็นเป้าหมายของพ่อค้าชาวจีนในการนำเข้าทุเรียนจำนวนมาก เพราะมีการปลูกทุเรียนมากและมีคุณภาพ จึงมีล้งขึ้นจำนวนมาก ยงยุทธ เจียงแจ่มจิตร เจ้าของล้งนาคินทร์ ตลาดเนินสูง อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นล้งรายใหญ่ของจันทบุรี ได้อธิบายว่า ไม่สามารถบอกจำนวนล้งที่รวบรวมผลไม้ส่งให้พ่อค้าชาวจีนได้ว่ามีจำนวนเท่าไรแน่ แต่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“คิดว่าวันนี้น่าจะเกิน 100 ล้ง ยังไม่รวมของตราดและระยอง ซึ่งแต่ละล้งจะมีเงินทุนหมุนเวียนในตลาดผลไม้แต่ละแห่งหลายสิบล้านบาท/ล้ง โดยพ่อค้าชาวจีนจะจ้างชาวไทยเป็นผู้รวบรวมผลไม้ให้ตามความต้องการ ซึ่งมีการกำหนดคุณภาพ ขนาด และราคาอย่างชัดเจน แต่จำนวนรับไม่อั้น

“ชาวจีนมาซื้อผลไม้โดยตรงไม่ได้ เพราะไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่รู้ขั้นตอน ไม่รู้จักกับชาวสวน รวมทั้งมีพ่อค้ารายย่อยวิ่งเข้าไปซื้อผลไม้ในสวนโดยตรง จึงต้องซื้อผ่านคนไทย ซึ่งผู้ที่ทำล้งจะต้องคัดคุณภาพ ต่อรองราคา การชุบน้ำยา และการแพ็กเกจแล้วส่งขึ้นรถตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งคนรวบรวมผลผลิตก็จะได้ส่วนต่างราคา การรับจ้างแพ็ก การบริหารจัดการเฉลี่ย 30 บาท/กก. อันนี้เป็นส่วนน้อยนะ

“การมีพ่อค้าชาวจีนมาสั่งทุเรียน มังคุด เพื่อนำเข้าประเทศและให้ล้งเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่าง พ่อค้าชาวจีนจะทำหน้าที่เพียงส่งเงินมาให้และรับสินค้านำเข้าจีนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เกือบเป็นเงินสดและโอนเงินในวันรุ่งขึ้นทันที ทำให้เกษตรกรได้เงินเร็ว และมีเงินหมุนเวียนเร็ว

“แต่ละวันจะมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งในปี 2558 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท แต่ในปี 2559 น่าจะมีมากกว่า เพราะราคาผลไม้สูงกว่าปีที่ผ่านมา ขณะนี้แต่ละล้งจะมีการบรรจุ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ ประมาณ 20-25 ตัน ขึ้นอยู่กับชนิด อย่างมังคุด และลำไย แต่ละล้งจะสามารถส่งออกไปได้ 18-30 ตู้/เดือน เป็นอย่างน้อย”

ยงยุทธ ยังสะท้อนให้เห็นว่า หลังจากชาวจีนมารับซื้อผลไม้ผ่านล้งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทุกวันนี้ผลไม้ของจังหวัดภาคตะวันออก คือ ทุเรียน มังคุด และลำไย เป็นที่ต้องการของชาวจีนมากขึ้น และส่งผลให้ราคาผลไม้สูงต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว

“วันนี้การประท้วงเกือบหมดไป ชาวสวนสามารถขายผลไม้ได้ราคาสูง แต่พ่อค้าชาวจีนไม่ได้ซื้อแบบฮั้วตลาด ต่างคนต่างซื้อ ทำให้ราคาไม่ตก วันนี้ตลาดยังเป็นของคนไทยอยู่ แต่ในอนาคต หรืออีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดปัญหาขึ้นแน่ ทั้งล้งและเกษตรกร หากพ่อค้าชาวจีนรวมตัวซื้อผลไม้ หรือหยุดซื้อผลไม้จะส่งผลกระทบทันที

“วันนี้พ่อค้าชาวจีนพยายามจะเรียนรู้กระบวนการจัดการของล้งว่าเป็นอย่างไร เขาเริ่มเข้าใจและต้องการเข้ามาเป็นผู้ควบคุมการทำงานเอง แทนที่ล้งคนไทย หากพวกเขาสามารถทำได้ และจ้างแรงงานทั้งผู้คัด ผู้ซื้อ และผู้ต่อรองราคาได้ ทุกอย่างจะเป็นของพ่อค้าชาวจีนทั้งหมด

“กลุ่มแรกที่จะตกงานก็คือพวกล้งอย่างผมต่อมาก็คือชาวสวนผลไม้ที่จะถูกกดราคาและกำหนดราคาจากพ่อค้าชาวจีน ซึ่งหากไม่มีการกำหนดหรือมีหลักเกณฑ์จากรัฐบาล พ่อค้าชาวจีนจะรวบตลาดผลไม้ของภาคตะวันออกได้ทั้งหมด ทุกวันนี้พ่อค้าชาวจีนเข้ามาพร้อมเงินและวีซ่าท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ธุรกิจนี้ไม่ควรให้คนต่างด้าวมาเป็นผู้ควบคุม”

อย่างไรก็ตาม หากพ่อค้าไทยจะรวบรวมเพื่อส่งออกผลไม้ไปจีนโดยตรงกลับมีข้อจำกัดหลายประการ อาทิ ไม่สามารถสื่อสารได้เข้าใจ หรือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้าไทยและพ่อค้าจีนที่จะต้องอาศัยความสนิทสนม ความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และยังต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก หากไม่ใหญ่จริงโอกาสที่จะเข้าไปค้าขายกับต่างประเทศลำบาก และมีความเสี่ยงสูง หากจะทำจริงคงต้องมีบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งอาจจะไม่คุ้มกับการลงทุน

สถานการณ์การค้าผลไม้ผ่านล้งที่แม้จะสร้างรายได้อย่างมหาศาลหลายพันล้านต่อปี แต่ปัญหาที่อาจตามมาก็คือ หากจีนฮั้วราคา หยุดการนำเข้า หรือจะด้วยเหตุใดก็ตาม ตลาดผลไม้ในภาคตะวันออกที่กำลังไปได้ดีก็ต้องปิดฉากลง และปัญหาของเกษตรกรชาวสวนอาจวนกลับมาให้รัฐบาลแก้อีกในวันหน้า

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"