สร้างแบรนด์ ‘มดดิ๊’ ขนมไทยไปเพื่อนบ้าน
ขนมหวานไทยๆ สูตรต้นตำรับ จ.เพชรบุรี ที่ ณัฐดนัย รุจิรา มองเห็นว่าหากนำมาปรับเทคนิคกระบวนการผลิตเพื่อยืดอายุการเก็บขนมให้ยาวได้ขึ้นไปอีก
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
ขนมหวานไทยๆ สูตรต้นตำรับ จ.เพชรบุรี ที่ ณัฐดนัย รุจิรา มองเห็นว่าหากนำมาปรับเทคนิคกระบวนการผลิตเพื่อยืดอายุการเก็บขนมให้ยาวได้ขึ้นไปอีก ก็จะเป็นโอกาสใหม่ในการขยายการทำตลาดส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ที่เปิดใจรับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารการกินจากบ้านเราเป็นอย่างดี
ณัฐดนัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มินิฟู้ด โปรดักส์ ผู้ผลิตและทำตลาดขนมไทยภายใต้แบรนด์ มดดิ๊ (Moddii) เล่าถึงธุรกิจเริ่มต้นเมื่อปี 2556 โดยอาศัยความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์อาหาร (FoodScience) มาปรับใช้ร่วมกับการทำขนมหวานสูตรดั้งเดิมของที่บ้านในเมืองเพชร จากความตั้งใจที่อยากจะนำขนมไทยออกไปสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ได้เช่นเดียวกับมาการงของฝรั่งเศส
จากนั้นจึงเริ่มรวบรวมกลุ่มคนทำขนมหวานไทยที่มีฝีมือใน จ.เพชรบุรี มาเป็นผู้ผลิตสินค้าขนมไทย พร้อมสร้างแบรนด์มดดิ๊ โดยพัฒนาสินค้าตัวแรกที่ออกมาทำตลาด คือ “อาลัว” ขนมหวานที่มีส่วนผสมหลักจากรสหวานหอมของน้ำตาลเมืองเพชรและความมันจากมะพร้าว ที่ปรับเทคนิคการผลิตใหม่เพื่อยืดอายุการจัดเก็บสินค้าได้นานขึ้น 6 เดือน-1 ปี จากเดิมที่ขนมประเภทนี้จะมีอายุการรับประทานไม่เกิน 14 วัน
พร้อมมองไกลต่อไปอีกถึงการขยายตลาดผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ที่เป็นชาวต่างชาติ ให้หันมาสนใจขนมไทยมากขึ้น ด้วยการพัฒนาสินค้าใหม่รสชาติแปลกๆ ออกมาทำตลาด อย่าง อาลัวรสผลไม้ นำผลไม้รสเปรี้ยว เช่น กีวี่ สตรอเบอร์รี่ เข้ามาใช้เป็นส่วนผสมร่วมในขนม และทำให้ได้อาลัวรสชาติใหม่ออกมาอีก เช่น ผสมถั่วพิสตาชิโอเข้าไปเพิ่มความหอมมันให้กับขนมมากยิ่งขึ้น ถึงปัจจุบัน อาลัว แบรนด์มดดิ๊ มีรสชาติพิเศษต่างๆ อาทิ ชานม ชาเขียว ช็อกโกแลต และอยู่ระหว่างการพัฒนาและผลิตอาลัว สูตรข้าวไรซ์เบอร์รี่ จะวางตลาดใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้
ปัจจุบัน มดดิ๊มีกลุ่มขนมไทยรายการต่างๆ ที่ทำตลาด อาทิ อาลัว วุ้นกรอบ ฝอยทองกลีบลำดวน ฯลฯ มีจุดเด่นด้านนวัตกรรมการจัดเก็บสินค้าที่นานกว่าขนมไทยในแหล่งผลิตอื่นทั่วไป รวมถึงบรรจุภัณฑ์ (แพ็กเกจจิ้ง) ที่ให้ความสำคัญด้านการออกแบบเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ทั้งในและต่างประเทศ จำหน่ายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ผ่านจุดขาย (คีออสก์) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย อุดรธานี สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ เกาะสมุย และเทสโก้ โลตัส จ.เพชรบุรี
ณัฐดนัย กล่าวว่า ได้เดินหน้าขยายตลาดขนมไทยแบรนด์มดดิ๊ในต่างประเทศควบคู่กันไป ผ่านการนำสินค้าออกบูธต่างประเทศ อย่างช่วงแรกๆ ที่นำสินค้าอาลัวเข้าไปทำตลาดในจีน พบว่าต้องนำขนมกลับมาพัฒนาสูตรสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้ง กว่าจะได้รสขาติที่ถูกปากผู้บริโภคชาวจีน ที่ขนมจะต้องปรับลดความหวานให้น้อยลงกว่าสูตรปกติ เป็นต้น แต่ก็มองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการทำตลาด
นอกจากตลาดจีนแล้ว ขนมไทยมดดิ๊ยังได้เข้าไปทำตลาดเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับไทยด้วยโดยอาศัยช่องทางการค้าตลาดชายแดน โดยมีผู้ค้าจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามารับสินค้าจากไทยเข้าไปทำตลาดอีกทอดหนึ่ง โดยปัจจุบันอาลัวได้การตอบรับเป็นอย่างดี จากกลุ่มลูกค้าในประเทศกัมพูชา รวมถึงตลาดในประเทศสิงคโปร์และเวียดนาม ที่ชื่นชอบขนมไทยด้วยเช่นกัน
“ชาวกัมพูชาค่อนข้างจะเปิดใจรับสินค้าจากไทย ซึ่งรวมถึงกลุ่มขนมหวานไทยด้วย ซึ่งมดดิ๊ตัดสินใจใช้อาลัวเป็นตัวเปิดตลาด และสร้างแบรนด์ขนมหวานจากไทยก่อนทยอยทำตลาดสินค้าขนมไทยในกลุ่มอื่นๆ ต่อไป” ณัฐดนัย เสริม
ขณะที่แผนธุรกิจในปีนี้จะให้ความสำคัญในการทำตลาดและสร้างแบรนด์ผ่านขนมอาลัวเป็นหลัก พร้อมมองหาโอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น ที่นอกเหนือจากมองกลุ่มลูกค้าต่างชาติแล้ว ยังเพื่อรองรับกลุ่มคนไทยจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศที่หาซื้ออาหารไทย ขนมไทยรับประทานด้วย รวมถึงวางแผนขยายธุรกิจและการทำตลาดเข้าไปยังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเมียนมาและลาวที่มองว่าน่าจะยังมีโอกาสอยู่
พร้อมกันนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าใหม่ คือ ขนมหม้อแกงบรรจุกระป๋อง ที่มีอายุการจัดเก็บนานขึ้นหรืออยู่ที่ 12-18 เดือน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าใหม่ที่มีโอกาสขยายการทำตลาดในต่างประเทศด้วย โดยจะวางราคาจำหน่ายอยู่ที่ 40-45 บาท/กระป๋อง และจะมีแพ็กเกจจิ้ง 2 แบบ คือ แบบถาดสี่เหลี่ยมมีฝาปิด และแบบกระป๋อง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผูู้บริโภคที่อาจชอบบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
ปัจจุบันมีเครือข่ายผู้ผลิตขนมหวานให้กับแบรนด์มดดิ๊ราว 12 ราย สามารถผลิตสินค้ากลุ่มขนมอาลัวได้เต็มที่ถึง 45 กก./วัน พร้อมวางแผนในอนาคต ด้วยการรวมกลุ่ม (คลัสเตอร์) ผู้ผลิตขนมหวานไทย จ.เพชรบุรี ให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดผลประโยชน์จะได้รับร่วมกันในชุมชนผู้ผลิต ที่จะยังมีรายได้ต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงยังสามารถสร้างอำนาจต่อรองในการสั่งซื้อวัตถุดิบได้ในราคาที่ต่ำลงจากซัพพลายเออร์ได้อีกด้วย เพื่อพัฒนาให้ขนมหวานไทยสามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นระบบได้
สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตธุรกิจที่มาจากตลาดส่งออกมากกว่า 100% และตลาดในประเทศไม่ต่ำกว่า 50%


