เปิดเส้นทาง ผ้าทออีสานสู่ตลาดโลก
กระทรวงพาณิชย์โปรโมทเส้นทางผ้าไทย นำทูต26ชาติร่วมคณะไปสัมผัสความงดงามที่อุบลราชธานี และสุรินทร์
วราภรณ์ เทียนเงิน
หนึ่งในโครงการหลักของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ หรือ SACICT กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำในปีนี้คือ การโปรโมทเส้นทางผ้าไทย ที่ได้จัด 7 เส้นทางผ้าทอไทย พร้อมนำคณะทูตานุทูตรวม 26 ประเทศ ร่วมเดินทางไปสัมผัสเส้นทางผ้าไหมไทย ใน จ.อุบลราชธานี และสุรินทร์ ที่เป็นหนึ่งในผ้าทอที่มีเอกลักษณ์ ความงดงาม มีฝีมือ ทำให้คณะทูตานุทูตต่างชื่นชมและสนใจผ้าไหมไทยอย่างมาก
แห่งแรก คือ “มีชัย แต้สุจริยา” ทายาทช่างศิลปหัตถหกรรม ที่สืบทอดกิจการ “โรงงานทอผ้าไหมคำปุน” ต่อจากคุณแม่ “ครูคำปุน ศรีใส” ครูศิลป์แห่งแผ่นดิน โดยบ้านคำปุน อยู่ใน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยได้สามารถคิดค้น “ผ้ากาบบัว” ขึ้นมาได้สำเร็จ ที่มีเอกลักษณ์และความงดงามและเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ รวมทั้งเป็นผ้าทอที่เป็นสัญลักษณ์ของ จ.อุบลราชธานี พร้อมฟื้นฟูงานผ้าไหมหลายประเภทที่สูญหายให้กลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันการผลิตในกลุ่มมีช่างฝีมือร่วมทอผ้าไหมประมาณ 30 คน โดย “มีชัย” เป็นผู้ดูแลทุกขั้นตอน รวมถึงเลือกใช้สีธรรมชาติ 100% และมุ่งมั่นกับการคิดค้นเทคนิคและวิธีใหม่มาใช้ในการทอผ้า ทำให้ผ้าทอบ้านคำปุน เป็นที่ต้องการของลูกค้าและมีคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า (ออร์เดอร์) ที่ยาวเป็นปีเช่นกัน สินค้าผ้าไหมที่ผลิตมีคุณภาพสูง มีทั้งความนุ่ม ลวดลายสวยงาม ใส่แล้วไม่ร้อน
“มีชัย” จากอดีตที่เป็นพนักงานต้อนรับประจำสายการบินไทย ที่มีความผูกผันกับการทอผ้าและความรักกับการทอผ้า จึงตัดสินใจเข้ามาสืบทอดผ้าทอบ้านคำปุน วางเป้าหมายทำให้ลูกค้าคนไทยและต่างประเทศรู้จักมากที่สุด
ต่อมาผ้าทอที่ จ.สุรินทร์ คือ “ผ้าทอยกทองจันทร์โสมา” ของ “ครูวีรธรรม ตระกูลเงินไทย” ครูศิลป์ของแผ่นดินผ้าทอไหมยกทองและหัวหน้ากลุ่ม “ผ้าทอยกทองจันทร์โสมา” จาก จ.สุรินทร์ อยู่ที่ ต.ท่าสว่าง อ.เมืองสุรินทร์ หรือ
ทุกคนเรียกว่า “หมู่บ้านเอเปก” โดยเป็นกลุ่มที่มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทยโบราณ ที่สูญหายในอดีตให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง จนผลิตสินค้าไม่เพียงพอ และ
การสั่งผลิตผ้าทอ จะต้องมีออร์เดอร์ล่วงหน้า 2-3 ปี
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ “ผ้าทอยกทองจันทร์โสมา” คือ การนำผ้าไหมที่มีเส้นขนาดเล็ก นำสีธรรมชาติมาใช้ในการผลิต มีสีหลักสามสี คือ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล และสีครามจากเมล็ดคราม โดยเมื่อได้แม่สีทั้งสามสีแล้ว จึงนำมาผสมและกลายเป็นสีได้อีกจำนวนมาก รวมทั้งเป็นหมู่บ้าน ได้รับการยกย่องว่า “ทอผ้าไหมหนึ่งพันสี่ร้อยสิบหกตะกอ” ที่มีความละเอียดและงดงาม รวมทั้งได้ผ้าไหม น้ำหนักเบา สวมใส่ได้สบายและเหมาะกับอากาศของไทย อีกทั้งเป็นผ้าที่ความคงทน
“จากการที่ได้เรียนด้านจิตรกรรม จึงนำมาใช้ต่อยอดและสร้างสรรค์ลวดลายผ้าทอ สนุกกับภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ที่คิดแบบละเอียด ซับซ้อน คาดไม่ถึง เลือกแม่สี 3 ที่อยู่ได้เป็น 100 ปี และแม่สี 3 สี ผสมสีได้จำนวนมาก กาลเวลาพิสูจน์ภูมิ ปัญญาคนไทยได้อย่างดี” ครูวีรธรรม กล่าว
“ชิโร ซะโดะชิมะ” เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กล่าวถึงการได้ร่วมโครงการครั้งนี้ ที่มาสัมผัสกับผ้าไหมไทยเป็นครั้งแรก รู้สึกประทับใจและชื่นชอบกับผ้าไหมไทยอย่างมาก ที่มีความนิ่ม ความสวยงาม เอกลักษณ์ มีการอนุรักษ์ สืบทอดประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็รู้จักและชื่นชอบผ้าไหมไทยอยู่แล้ว โดยขณะนี้มีกลุ่มชาวญี่ปุ่นสนใจนำผ้าไหมไทย ไปร่วมงาน “Setouchi Triennial 2016” ที่จัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น และตัวเองก็สนใจสนับสนุนโครงการดังกล่าวอย่างเต็มที่ ถือเป็นงานแสดงศิลปะที่มีขนาดใหญ่ แต่ละปีมีคนเข้ามาชมงานประมาณ 5-6 แสนคน
“มาร์ค มิคเคลเซน” เอกอัครราชทูตเบลเยียม ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ตัวเองและภริยาได้เดินทางมาใน จ.อุบลราชธานี และสุรินทร์ เป็นครั้งแรก ก็ประทับใจกับผ้าไหมไทยที่มีเอกลักษณ์การทอที่มีความยาก ความซับซ้อน มีเทคนิคพิเศษและสวยงาม เป็นวิธีการธรรมชาติทั้งหมด อีกทั้งเป็นงานฝีมือ (แฮนด์เมด) หลังจากนี้ก็จะนำไปบอกต่อกับเพื่อนและชาวเบลเยียมต่อไป รวมทั้งอยากให้ผ้าไหมไทยไปร่วมงานศิลปะขนาดใหญ่ที่จัดขึ้นในเบลเยียมอีก 3 ปีข้างหน้า
เป็น 1 ใน 7 เส้นทาง ผ้าทอไทยใน 4 ภูมิภาค ที่กระทรวงพาณิชย์ และ SACICT จะโปรโมทให้ลูกค้าคนไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จัก วางเป้าหมายระยะยาวจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางหัตถกรรมของเอเชีย โดยมูลค่าตลาดสินค้าหัตถกรรมไทยที่เกี่ยวกับผ้ามีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ผ้าทอไทยกำลังกลับมาคึกคักในตลาดประเทศไทยและตลาดโลก


