โอ้โห้ฯลุยมาร์เก็ตเพลส

โดย...จะเรียม สำรวจ

หลังจากผ่านปัญหาในการดำเนินธุรกิจช่วงปลายปี 2557 ส่งผลให้บริษัท โอ้โห้ บายปูนิ่ม ต้องหันมาสร้างแบรนด์สินค้าอย่างจริงจังในปี 2558 ที่ผ่านมา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์สินค้าโอ้โห้ บายปูนิ่ม ซึ่งหลังจากเคลียร์ปัญหาทุกอย่างจบ ปีนี้ถือเป็นปีที่บริษัท โอ้โห้ บายปูนิ่ม จะกลับเข้ามาทำตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างจริงจังอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ได้มีการขยายธุรกิจเข้าไปทำตลาดในช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางออนไลน์

ธนคินทร์ ศิริดุสิตวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอ้โห้ บายปูนิ่ม กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ จะขยายธุรกิจเข้าสู่การเป็นมาร์เก็ตเพลส หรือการเป็นเว็บไซต์สื่อกลางการติดต่อซื้อ-ขายสินค้า เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซค่อนข้างรุนแรง เพราะมีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงต้องปรับปรุงเพื่อรับมือการแข่งขันและการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

ในเบื้องต้นขณะนี้มีผู้สนใจจะนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายกับบริษัท โอ้โห้ บายปูนิ่ม แล้ว 6 แบรนด์ คาดว่าหลังจากเตรียมความพร้อมในด้านของคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์แล้ว เสร็จสิ้นปีนี้น่าจะมีสินค้าที่เข้ามาร่วมทำธุรกิจไม่ต่ำกว่า 20-30 แบรนด์

ธนคินทร์ กล่าวต่อว่า เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตซึ่งจะมีทั้งการขยายช็อปจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าจากปัจจุบัน 1 สาขา เพิ่มเป็น 10 สาขาในสิ้นปี ซึ่งแต่ละสาขาคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 4-5 แสนบาท ส่วนการเปิดขายแฟรนไชส์หรือตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศอีก 1,000 แห่ง ผู้สนใจจะต้องซื้อสินค้าครั้งแรกก่อน 1.5 หมื่นบาท ก่อนเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า

จากการขยายตัวดังกล่าว ทำให้บริษัท โอ้โห้ บายปูนิ่ม ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพื่อจัดเก็บสินค้าก่อนจัดส่ง โดยในส่วนของศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา พิษณุโลก และนครศรีธรรมราช ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ คาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมกันประมาณ 5-10 ล้านบาท

ธนคินทร์ กล่าวปิดท้ายว่า แม้ว่าจะหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางออฟไลน์มากขึ้น ในส่วนของช่องทางออนไลน์ก็ยังคงให้ความสำคัญเหมือนเดิม โดยเฉพาะทางเฟซบุ๊กซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการทำตลาดของสินค้าโอ้โห้ บายปูนิ่ม ซึ่งปีนี้ยังคงใช้งบซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊กหลัก 10 ล้านบาท ทำการตลาดเหมือนที่ผ่านมา เพื่อให้สิ้นปีมีรายได้ที่ 3,000 ล้านบาท