"แพ 500 ไร่" มุ่งเชิงนิเวศ ชูจุดขายที่พักไร้อินเทอร์เน็ต

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

หนึ่งในแนวโน้มการท่องเที่ยวที่มาแรงมาก จนเป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมยุคใหม่ คือ การทำให้ลูกค้าเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา เช่น ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดัง เคยทำแบบสำรวจนักท่องเที่ยว 4.4 หมื่นคนทั่วโลก พบว่า สิ่งที่ที่พักทุกที่ควรมี คือ ไว-ไฟ เพราะกว่า 46% ของนักท่องเที่ยว ก่อนจองห้องมักดูก่อนเสมอว่า ห้องพักที่จองมีบริการไว-ไฟฟรีหรือไม่ ถ้าไม่มีจะมองหาที่อื่นทันที หรือหากต้องเสียค่าใช้จ่าย นักท่องเที่ยว 11% ก็ยินดีเสียเงินซื้อไว-ไฟ

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ประกอบการที่ยึดมั่นในแนวทางที่ดำเนินการอยู่ คือ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และไม่มีอินเทอร์เน็ต เพราะเชื่อว่าไม่ใช่นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มที่ต้องการอินเทอร์เน็ตใช้งานตลอดเวลาที่ท่องเที่ยว เช่น แพ 500 ไร่ เขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ซึ่งใครที่เข้าไปดูในเฟซบุ๊กแฟนเพจของแพ 500 ไร่ ก็จะได้เห็นจนชินตาถึงการติดแฮชแท็กสำคัญทุกครั้งที่โปรโมทที่พักว่า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และไม่มีอินเทอร์เน็ต

อติรัตน์ ด่านภัทรวรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ และแพ 500 ไร่ ในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวทะเลสาบเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า การที่แพ 500 ไร่ นำเสนอรีสอร์ท โดยมีจุดขายชัดเจนว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และไม่มีอินเทอร์เน็ตนั้น ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับในเชิงบวกจากลูกค้า พบว่าลูกค้าที่มาแล้วประทับใจมาก มีครั้งหนึ่งที่เคยมีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่แทรกเข้ามาในบริเวณรีสอร์ทได้ พบได้ว่าความรู้สึกลูกค้านั้นต่างกับช่วงที่ไม่มีสัญญาณมาก

ทั้งนี้ เพราะลูกค้าเมื่อได้สัมผัสกับการพักในรีสอร์ทที่สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้าไม่ถึง ไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ใช้งานแล้ว รู้สึกว่าตัวเองได้มาพักผ่อนจริงๆ ยิ่งเป็นคนที่รักธรรมชาติ ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็จะชื่นชอบมาก เพราะทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ระหว่างที่มาพักในแพ 500 ไร่ พร้อมกับได้รับบริการด้วยวิถีแบบไทยๆ

“ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นผู้บริหารระดับสูง และคนที่ทำงานหนัก ต้องการมาพักผ่อน ทุกคนพูดเสมอว่า อย่าให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ขอให้รักษาเรื่องนี้ไว้ เพราะเมื่อพวกเขามาแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริงๆ รู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่สามัญ (แบ็ก ทู เบสิก) ซึ่งปัจจุบันแพ 500 ไร่ เป็นรีสอร์ทเดียวในเขื่อนเชี่ยวหลานที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากมีระบบตัดสัญญาณโทรศัพท์รอบรีสอร์ท อย่างไรก็ตามจะมีบริการคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะซึ่งต่ออินเทอร์เน็ตได้ไว้ 2 เครื่องที่รีสอร์ท สำหรับในกรณีฉุกเฉินจริงๆ”

อติรัตน์ กล่าวว่า ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ได้มีความต้องการด้านวัตถุสูง แต่มีความต้องการด้านจิตใจสูง ถ้าเราเน้นไปที่กลุ่มเหล่านี้ โดยนำเสนอความเป็นจุดหมายท่องเที่ยวสีเขียว (กรีน เดสติเนชั่น) และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (อีโค ทัวริสซึ่ม) ก็ดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ยาก และสามารถทำรายได้ ได้ดีด้วย นอกจากนี้ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มาแล้ว กลับมาซ้ำมาก โดยปัจจุบันพบว่า ลูกค้าที่เคยมาแล้วกลับมาซ้ำมีถึง 60-70% ของลูกค้าทั้งหมดที่มาใช้บริการ เพียงแต่จะกลับมาซ้ำช้าหรือเร็วเท่านั้น ส่วนใหญ่ครั้งแรกหากลูกค้าเคยมากับกลุ่มเพื่อน เมื่อกลับมาครั้งที่ 2 ก็มักจะพาครอบครัวมาเที่ยว

สำหรับบรรยากาศการใช้บริการแพ 500 ไร่ ไม่เคยมีช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) เพราะสามารถมาเที่ยวได้ทั้งปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีจำนวนห้องให้บริการน้อยกว่า 10 ห้อง ทำให้ยอดจองเต็มได้เร็ว และมีลูกค้าใช้บริการหนาแน่นทั้งปี ผู้ที่คิดจะมาพักต้องจองล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าเป็นการมาเข้าพักวันศุกร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่คนไทยเที่ยวมากอาจต้องจองล่วงหน้ากัน 2-3 เดือน หากเป็นการมาเข้าพักวันธรรมดา จันทร์-พฤหัสบดี ก็ต้องจองล่วงหน้า 1 เดือน

อติรัตน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้เพิ่มจำนวนแพพักอีก 4 หลัง ซึ่งแต่ละหลังจะมีห้องนั่งเล่นส่วนตัว จะเปิดให้บริการปลายเดือน มี.ค. หรือต้นเดือน เม.ย.นี้ โดยแพทั้ง 4 หลังนี้จะนำมาเสนอเป็นการท่องเที่ยวที่จ่ายรวมทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ (ออล อินคลูซีฟ) แต่เป็นการจ่ายรวมแบบเบ็ดเสร็จที่เที่ยวได้อย่างอิสระ ถือเป็นการเปิดกระแสท่องเที่ยวแนวใหม่เลยก็ว่าได้

รูปแบบออล อินคลูซีฟนี้จะนำเสนอกับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ ทั้งคนไทยและต่างชาติ ต้องการท่องเที่ยวหลายๆ จุด และอยากได้บริการแบบเบ็ดเสร็จ โดยจะจัดที่พักให้อยู่ภายใน 4 หลังนี้ ซึ่งจะตั้งอยู่ในโซนใหม่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น พร้อมกับมีบริการรถส่วนตัวสามารถเลือกให้ไปรับและส่งตามเวลาที่กำหนดเองได้ โดยไปรับจากจุดหนึ่งแต่ขากลับไปส่งอีกจุดหนึ่งก็ได้ไม่จำเป็นต้องรับส่งจุดเดียวกัน ส่วนเป้าหมายอัตราเข้าพักหลังจากมีแพอีก 4 หลัง ให้บริการออล อินคลูซีฟ ตั้งไว้ที่ 90% ขึ้นไปตลอดทั้งปี

อติรัตน์ กล่าวในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวทะเลสาบเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ว่า การทำธุรกิจท่องเที่ยวหากมุ่งไปสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จะทำให้การท่องเที่ยวยั่งยืนขึ้น เพราะตามหลักความจริงนักท่องเที่ยวมีพื้นฐานชอบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพียงแต่กลัวรูปแบบการจัดการว่าดีพอหรือไม่และเป็นอย่างไร หากผู้ประกอบการจะทำการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้ตรงใจนักท่องเที่ยว ก็ต้องมีรูปแบบการจัดการที่ผสมผสานทุกอย่างลงตัว

สิ่งที่ต้องทำ ได้แก่ 1.การนำเสนอข้อเท็จจริงแต่แรก ชี้ให้เห็นสิ่งที่เป็นคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวและที่พักนั้น 2.การจัดการแพ็กเกจท่องเที่ยว ที่พัก และบริการให้ลงตัวสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่มา 3.การมีมาตรฐานและความซื่อสัตย์ หากทำสิ่งเหล่านี้ได้ผู้ประกอบการก็จะได้อยู่ในใจของนักท่องเที่ยว ได้กำไร และได้ทำในสิ่งที่ดีเพื่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงสังคมด้วย

หากวันใดที่คนในพื้นที่ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวเองลงทุนมากเกินไป หรือทำอะไรที่แปรเปลี่ยนสภาพดั้งเดิมอันเป็นเสน่ห์สำคัญของพื้นที่ เช่น มีร้านค้าตามสมัยนิยมเกิดมากเกินไป เกิดการลงทุนในสิ่งที่ไม่เหมาะกับวิถีชีวิตคนพื้นที่ หรือรบกวนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในพื้นที่นั้น คนในพื้นที่มีวิถีชีวิตแบบเมืองใหญ่เปลี่ยนไปจากวิถีชีวิตเดิมๆ ที่มี แหล่งท่องเที่ยวได้รับการปรับปรุงจนความเป็นธรรมชาติหดหายไป อนาคตความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยวนั้นก็จะจางลงเรื่อยๆ จนอาจกลายเป็นเพียงตำนานในที่สุด