posttoday

จดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า แก้ปัญหาถูกละเมิด

13 มีนาคม 2559

ความเพลี่ยงพล้ำของสินค้าไทยที่ถูกต่างชาติฉวยโอกาสนำไปเป็นของตัวเอง มีตัวอย่างที่เจ็บปวดมาแล้วคือ ซอสพริกศรีราชา

โดย...ทีมข่าวเศรษฐกิจโพสต์ทูเดย์

ความเพลี่ยงพล้ำของสินค้าไทยที่ถูกต่างชาติฉวยโอกาสนำไปเป็นของตัวเอง มีตัวอย่างที่เจ็บปวดมาแล้วคือ ซอสพริกศรีราชา ที่คนไทยผลิตขึ้นมากินใช้หลายสิบปี ในประเทศไทย มีการผลิตซอสพริกโดยใช้ชื่อ “ศรีราชา” ทำแบรนด์อยู่ 2 เจ้า คือ บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร ใช้คำว่า “ศรีราชา” และบริษัท ไทยเทพรสผลิตภัณฑ์อาหาร ใช้คำว่า “ศรีราชาพานิช”

แต่ทว่าได้มีชาวเวียดนามในประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อ David Tran ได้ทดลองทำสูตรซอสพริกเลียนแบบซอสพริกศรีราชาขึ้นมา และไปทำการตรวจสอบเครื่องหมายการค้าที่ US Trademark and Patent Office ก็พบว่ายังไม่เคยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Sriracha” ที่สหรัฐอเมริกามาก่อน จึงได้ลองยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Sriracha” ในสินค้าประเภทซอสพริก

นั่นเป็นเพราะผู้ผลิตสินค้าทั้งสองราย มัวแต่ทำการตลาด การผลิต แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจดเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรจึงทำให้เสียประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะหากส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศที่ศรีราชา ยูเอสเอ จดเครื่องหมายการค้าอาจจะถูกกล่าวหาเป็นสินค้าลอกเลียนแบบ

สถานการณ์ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสินค้าไทยที่ไปทำตลาดต่างประเทศปัจจุบัน มีสถิติถูกลอกเลียนแบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการละเมิดเครื่องหมายการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหา และพยายามผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยจดคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศที่ไปทำตลาดสินค้าไว้ เพราะนอกจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวสินค้าแบรนด์สินค้าแล้ว ยังสามารถฟ้องดำเนินคดีกับผู้ลอกเลียนแบบเพื่อยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น

นันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า กรมได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการไทยว่า สินค้าที่ส่งไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศถูกละเมิดเครื่องหมายการค้าจำนวนมาก ประเทศที่มีการละเมิด เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และจีน เป็นต้น ส่วนสินค้าไทยที่ถูกละเมิด เช่น น้ำผลไม้ยี่ห้อทิปโก้ มาลี ถั่วยี่ห้อเถ้าแก่น้อย เครื่องแกงยี่ห้อโลโบ น้ำจิ้มไก่พันท้ายนรสิงห์ น้ำพริกเผา และมาม่า เป็นต้น ทำให้เจ้าของสินค้าที่แท้จริงได้รับผลกระทบทำให้ยอดขายลดลง หรือจำหน่ายสินค้าได้ยากขึ้น ซึ่งกรมได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทุกกรณี

สำหรับรูปแบบของละเมิดพบว่าบางรายถูกผลิตสินค้าขึ้นมาเลียนแบบแล้วจำหน่ายแข่งกับสินค้าที่เป็นของจริง บางรายถูกผู้จัดจำหน่าย (เอเยนต์) ที่รับสินค้าจากไทยไปขายแล้วนำเครื่องหมายการค้าไปจดทะเบียนเป็นของตัวเอง จากนั้นไปว่าจ้างให้ที่อื่นผลิตสินค้ายี่ห้อเดียวกันนี้ให้ ทำให้เจ้าของที่แท้จริงไม่สามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายได้ หรือบางกรณีมีบางรายไปดูว่าสินค้าอะไรขายดีในตลาดก็เอาเครื่องหมายการค้านั้นๆ ไปจดทะเบียน แล้วมาห้ามสินค้าของจริงเข้าไปจำหน่าย

“จากการตรวจสอบพบว่าการละเมิดมีหลายวิธีมากขึ้นทั้งปลอมขึ้นมาเลย หรือเคยเป็นเอเยนต์จัดจำหน่าย พอเห็นสินค้าขายดีก็ไปจดเครื่องหมายการค้าไว้ แล้วไปจ้างคนอื่นผลิตให้ อ้างว่าเป็นสินค้าของตัวเอง ทำให้สินค้าจริงเข้าไปขายไม่ได้ หรือบางรายก็ลักไก่ทำเป็นอาชีพคือดูว่าในตลาดว่ามีสินค้าอะไรขายดี ก็แอบจดเครื่องหมายการค้าเอาไว้ แล้วห้ามสินค้าจริงเข้ามาขาย เป็นต้น” นันทวัลย์ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมได้เข้าไปช่วยเหลือ โดยได้ประสานงานไปยังหน่วยงานที่ดูแลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศที่สินค้าไทยถูกละเมิด และทำการคัดค้านการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งหลายๆ กรณีสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที เพราะอยู่ระหว่างการจดทะเบียน แต่บางกรณีอาจจะช้าเกินไป แต่กรมก็ได้ประสานงานเพื่อแก้ไขและยืนยันถึงความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงเพื่อให้มีการเพิกถอนต่อไป

นันทวัลย์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐได้พยายามส่งเสริมให้การจดคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประกอบการไทยให้สะดวกขึ้น โดยตั้งแต่กลางปี 2559 เป็นต้นไป ผู้ผลิตสินค้าสามารถใช้ประโยชน์จากการที่ไทยเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริดเข้ามายื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าผ่านกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งสามารถระบุประเทศที่จะขอรับความคุ้มครองได้ โดยสามารถยื่นขอคุ้มครองได้ถึง 97 ประเทศ ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปยื่นจดในประเทศที่จะส่งสินค้าไปขาย เป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย จากเดิมที่จะต้องจดคุ้มครองเป็นรายประเทศ

“ทางแก้ไขปัญหาที่ดีสุด คือผู้ผลิตสินค้าที่ส่งสินค้าไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ จะต้องจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศที่ส่งสินค้าออกไปทำตลาดไว้ก่อน เพื่อป้องกันปัญหาการถูกละเมิด และหมั่นตรวจสอบว่ามีปัญหาการละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะหากรู้ก่อนก็จะแก้ไขได้ทันท่วงที แม้จะมีต้นทุนจากการจดคุ้มครองเครื่องหมายการค้า แต่หากมีการละเมิดเกิดขึ้นมาแล้ว ความสูญเสียจะมีมากกว่าหากไม่มี การจดคุ้มครอง” นันทวัลย์ กล่าวทิ้งท้าย

ในมุมมองนักการตลาด สมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล กล่าวว่า กรณีกระเป๋าสายรุ้งซึ่งเป็นสินค้าของไทยถูกลอกเลียนแบบก็ไม่ได้แตกต่างจากข้าวหอมมะลิที่โดนอเมริกาจดสิทธิบัตร เป็นบทเรียนสำหรับเอสเอ็มอีไทยว่าต้องจดสิทธิบัตรไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมและไม่มีนวัตกรรมก็ตาม เพื่อป้องกันสินค้าถูกลอกเลียนแบบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ค่าจดสิทธิบัตรในแต่ละประเทศเป็นต้นทุนที่สูงมาก ดังนั้นรัฐบาลควรมีหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในเรื่องดังกล่าว ขณะที่ในตัวแบรนด์ต้องจดเครื่องหมายทางการค้าในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน เพราะหากผู้ประกอบการเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายดี อาจนำตราสินค้าของเราไปจดเครื่องหมายทางการค้า เช่น ที่เกิดขึ้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าเกิดปัญหาในประเทศจีน

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เอฟเวอร์ตัน พบ อาร์เซน่อล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68