posttoday

ดิ เอราวัณ ปูพรม ‘ฮ็อป อินน์’ ดึงแฟรนไชส์เร่งขยายเครือข่าย

11 กุมภาพันธ์ 2559

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จัดเป็นกลุ่มทุนโรงแรมอีกรายในไทยที่มีแผนเชิงรุกอย่างมากในการขยายโรงแรม ไม่เฉพาะแค่ในไทยเท่านั้น

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จัดเป็นกลุ่มทุนโรงแรมอีกรายในไทยที่มีแผนเชิงรุกอย่างมากในการขยายโรงแรม ไม่เฉพาะแค่ในไทยเท่านั้น ยังได้เริ่มลงสนามไปลงทุนโรงแรมในต่างประเทศ ด้วยการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเองภายใต้ชื่อ “ฮ็อป อินน์” โดยเป็นแบรนด์โรงแรมราคาประหยัดหรือประมาณ 2 ดาว

กมลวรรณ วิปุลากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เปิดเผยว่า 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทเป็นผู้เล่นสำคัญที่ให้น้ำหนักการลงทุนโรงแรมเพียงอย่างเดียวชัดเจน น่าจะพูดได้ว่าเป็นผู้นำธุรกิจโรงแรมในไทยแล้ว เพราะสิ้นปี 2558 มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 5,676 ห้อง จากจำนวนโรงแรมทั้งหมด 33 แห่ง ถือเป็นกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของห้องพักมากที่สุดในไทย โดยถึงสิ้นปีนี้จะมีห้องพักเพิ่ม 6,310 ห้อง จากจำนวนโรงแรมที่เพิ่มเป็น 40 แห่ง

สำหรับการขยายธุรกิจหลังจากนี้บริษัทจะให้น้ำหนักไปที่การลงทุนโรงแรมที่เจาะตลาดลูกค้าระดับกลางลงมา (โลเวอร์ เซ็กเมนต์) ไม่ขยายโรงแรมระดับหรู (ลักซ์ชัวรี่) เพิ่ม เพราะความต้องการห้องพักที่เติบโตอยู่ในกลุ่มลูกค้ากลาง-ล่างมากกว่า เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ปีที่ผ่านมาโต 70% ปีนี้ก็คงจะโตต่อเนื่อง กลุ่มนี้เข้าพักในโรงแรมทุกระดับ แต่ส่วนใหญ่เข้าพักโรงแรมระดับกลาง-ล่างมากกว่า ขณะที่กลุ่มคนไทยเดินทางก็โตต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทก็มีโรงแรมที่ตอบสนองการเดินทางในประเทศได้

ด้านสัดส่วนผู้ใช้บริการโรงแรมทั้งหมดของบริษัทมีลูกค้าคนไทยอันดับหนึ่งถึง 15% รองลงมาคือ คนจีน 13% อันดับสาม เป็นตลาดดั้งเดิม คือ คนอเมริกัน 11% ส่วนที่เหลือที่มีสัดส่วนสูงคือ สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งเดินทางมาเป็นประจำ

สำหรับการขยายโรงแรมกลุ่มกลาง-ล่าง หลักๆ คือ ฮ็อป อินน์ ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมที่บริษัทสร้างขึ้นมา 2 ปีแล้ว โดยได้เปิดโรงแรมฮ็อป อินน์ กลุ่มแรกในปี 2557 และกลุ่มที่ 2 ในปี 2558 ปัจจุบันมีฮ็อป อินน์ แล้ว 15 แห่ง ปีนี้จะเปิดฮ็อป อินน์ 6 แห่ง ในจำนวนนี้ 1 แห่งที่ร้อยเอ็ดเปิดไปแล้ว ขณะที่ปี 2560-2563 มีแผนเปิดฮ็อป อินน์ ในไทยอีก 29 แห่ง ซึ่งจะส่งผลให้ 5 ปีข้างหน้ามีโรงแรมฮ็อป อินน์ ในไทย 50 แห่ง

นอกจากการขยายฮ็อป อินน์ ในไทยแล้ว บริษัทก็ยังขยายฮ็อป อินน์ ในฟิลิปปินส์ด้วย โดยตั้งเป้าหมายมีโรงแรมในฟิลิปปินส์ 20 แห่ง ในปี 2563 ซึ่งภายในปีนี้จะเปิด 1 แห่ง ในช่วงเดือน ธ.ค. ส่วนที่เหลือหลักๆ จะอยู่ภายใต้แบรนด์ ฮ็อป อินน์ แต่ก็อาจจะมีโรงแรมระดับกลาง (มิดสเกล) ที่ใช้แฟรนไชส์เครือโรงแรมระดับนานาชาติด้วย โดยหลักๆ โรงแรมในฟิลิปปินส์จะอยู่ในกรุงมะนิลา 50% และเมืองอื่นๆ 50% ซึ่งเมืองที่มองไว้คือ เซบู และดาเวา

“ฮ็อป อินน์ ที่เปิดในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ จะแตกต่างกับไทย จะมีจำนวนห้องพัก 150-200 ห้อง/แห่ง ซึ่งมากกว่าฮ็อป อินน์ ในไทย และระดับโรงแรมจะอยู่กึ่งกลางระหว่างโรงแรมไอบิส และ
โรงแรมฮ็อป อินน์ ในไทย คือเป็นโรงแรมกึ่งกลางระหว่าง 2 ดาว และ 3 ดาว”

ทั้งนี้ การขยายฮ็อป อินน์ หลังจากนี้จะเริ่มเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ไปขยายควบคู่กับการลงทุนขยายฮ็อป อินน์ เอง โดยการขยายรูปแบบแฟรนไชส์จะเริ่มในไทยก่อน หากเป็นไปได้คงจะเกิดเร็วที่สุดในปีนี้ เพราะปัจจุบันก็มีนักลงทุนหลายรายสอบถามเข้ามามากว่าต้องการเป็นแฟรนไชส์ฮ็อป อินน์ ส่วนต่างชาติก็มีสอบถามมาบ้างแล้วเช่นกัน

กมลวรรณ กล่าวว่า การเปิดรับแฟรนไชส์ฮ็อป อินน์ เป็นสิ่งที่บริษัทตั้งใจแต่แรกที่สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ในช่วงแรกต้องการวางผลิตภัณฑ์ การบริการ และระบบให้ดีก่อน ซึ่งปัจจุบันการบริหารงานฮ็อป อินน์ ทั้งหมดก็เป็นการบริหารออกจากส่วนกลางผ่านระบบที่วางเอาไว้ หลังจากนี้หากจะรับแฟรนไชส์ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว เพราะสามารถใช้ระบบที่มีอยู่ได้ เพียงแค่บริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมเหล่านั้นเอง

ข้อดีของการขยายฮ็อป อินน์ ในรูปแบบแฟรนไชส์ก็คือ อาจมีบางพื้นที่ที่บริษัทไม่ได้ต้องการเข้าไปลงทุน แต่ในพื้นที่นั้นมีคนสนใจจะใช้แบรนด์ฮ็อป อินน์ ไปลงทุนโรงแรม ก็จะสร้างโอกาสทำให้บริษัทขยายเครือข่ายฮ็อป อินน์ ได้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งการขยายเครือข่ายถือเป็นจุดประสงค์หลักของการเปิดรับแฟรนไชส์ บริษัทไม่ได้ต้องการเป็นเจ้าของเครือโรงแรมใหญ่ในโลก ขณะเดียวกันการขยายแฟรนไชส์ก็คงไม่ได้สร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญ รายได้หลักจะยังมาจากโรงแรมที่บริษัทลงทุนเองอยู่

ทางด้านการแข่งขันของฮ็อป อินน์ เมื่อเทียบกับโรงแรมระดับเดียวกันนั้น หากเป็นในประเทศไทยยังไม่มีแบรนด์โรงแรมที่เป็นคู่แข่งชัดเจน คู่แข่งหลักของฮ็อป อินน์ จะเป็นโรงแรมเดี่ยวๆ ระดับเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ และจังหวัดเดียวกันก็อาจมีฮ็อป อินน์ ได้มากกว่า 1 แห่ง หากเข้าไปเปิดแล้วผลตอบรับดี ส่วนในฟิลิปปินส์ คู่แข่งโรงแรมที่อยู่ในระดับอีโคโนมีลงมาถึงบัดเจ็ตก็ยังมีน้อย จึงเป็นโอกาสที่จะเข้าไปได้

“ฮ็อป อินน์ ในไทยมีลูกค้าหลักเป็นคนไทยซึ่งส่วนใหญ่เดินทางเดี่ยวๆ อีกกลุ่มเป็นลูกค้าองค์กรที่เดินทางไปพักหลายสาขา และมักไปพักซ้ำแล้วซ้ำอีก บริษัทก็จะเก็บสถิติไว้ว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบเรื่องอะไร ลูกค้าไปพักที่สาขาไหนบ้าง เนื่องจากมีโปรแกรมสำหรับสร้างความจงรักภักดี (รอยัลตี้ โปรแกรม) ทำตลาดฮ็อป อินน์ ขณะที่โฮสเทล หรือห้องพักแบบรวม ยังไม่ถือเป็นคู่แข่งโดยตรง เพราะกลุ่มนี้จะเจาะ
นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนมากกว่า”

กมลวรรณ กล่าวว่า แนวโน้มการปรับขึ้นราคาห้องพักของฮ็อป อินน์นั้น ถ้าเป็นในไทย พบว่าโรงแรมในระดับบัดเจ็ต ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมาก 2-3 ปีจึงปรับขึ้น แต่เมื่อปรับขึ้นแล้วจะปรับได้ถึง 10% ขณะที่โรงแรมระดับอื่นปรับราคาขึ้นได้ 3-5% ต่อปี ส่วนในฟิลิปปินส์ จากการสำรวจพบว่าราคาโรงแรม 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็ปรับขึ้นได้ 5-10% ต่อปี

ขณะที่ภาพรวมปีที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากโรงแรมลักซ์ชัวรี่ 55% โรงแรมระดับกลาง 24% โรงแรมราคาประหยัด (อีโคโนมี) 15% และโรงแรมต้นทุนต่ำ (บัดเจ็ต) ซึ่งก็คือฮ็อป อินน์ 2% อีก 5 ปีข้างหน้าตั้งเป้าหมายว่ารายได้ของบริษัทจะมาจากโรงแรมลักซ์ชัวรี่ 42% โรงแรมระดับกลาง 24% โรงแรมราคาประหยัด 18% และโรงแรมต้นทุนต่ำ แบรนด์ฮ็อป อินน์ 16%

เมื่อพิจารณาในแง่รายได้ที่มาจากจุดหมายต่างๆ ปีที่ผ่านมา 65% ของรายได้มาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ อีก 35% เป็นโรงแรมในต่างจังหวัด ส่วน 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จากโรงแรมในกรุงเทพฯ จะเหลือ 55% โรงแรมในต่างจังหวัด 35% และรายได้ที่จะเพิ่มมาใหม่คือ รายได้จากโรงแรมในอาเซียนตั้งเป้าไว้ 10%

เชื่อว่าใน 5 ปีจากนี้เราคงจะได้เห็นชื่อของโรงแรมไทยไปปักธงอยู่ในต่างประเทศละลานตาแน่นอน โดยเฉพาะในเอเชีย เพราะเวลานี้ทุกเครือไทยบุกเต็มที่ทั้งรูปแบบลงทุนเอง ร่วมลงทุน และรับบริหาร

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"