ทองคำ มานะศิลปพันธ์ ผู้นำไซแมท เทคโนโลยี
....เจียรนัย อุตะมะ
“
ทองคำ มานะศิลปพันธ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี (SIMAT) ผู้ให้บริการจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และพัฒนาโปรแกรมใช้งานคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่แบบครบวงจร ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ขายหุ้นจำนวน 10 ล้านหุ้น ไม่หมด และมีแผนจะนำหุ้นที่เหลืออีก 5 ล้านหุ้น ออกขายรอบสองในปีนี้“
ทองคำ” วัย 44 ปี ก่อตั้ง SIMAT มาตั้งแต่ปี 2543 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ในชื่อเดิม ไซแมท โมบาย คอมพิวเตอร์ ด้วยพื้นฐานที่เคยเป็นผู้จัดการฝ่ายคอมพิวเตอร์ที่บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ เครือสหพัฒน์ มาก่อน“
ตอนนั้นผมคิดว่าคอมพิวเตอร์มีแต่พนักงานในสำนักงานเท่านั้น ไม่มีใช้ในหน่วยขาย จึงเชื่อว่าคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่จะเป็นแนวโน้ม และยังไม่มีใครทำระบบนี้”เมื่อเชื่อในความคิดนี้จึงตัดสินใจลาออกจากงานมาตั้งบริษัท เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายให้บริษัทในสหรัฐที่ผลิตคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ยี่ห้ออินเตอร์เม็กซ์
“
เขามาติดต่อขายคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ให้บริษัทผม และเห็นว่าผมมีแนวคิดนี้ จึงชวนออกมาตั้งบริษัทเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งนอกจากจำหน่ายฮาร์ดแวร์แล้ว ต้องมีซอฟต์แวร์ภาษาไทยรองรับ”ยุคแรกของการตั้งบริษัทเขาถือหุ้นทั้งหมด ต่อมากระจายหุ้น 49% ให้ผู้ร่วมทุนที่เป็นผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่อินเตอร์เม็กซ์ในมาเลเซีย 49% ทำให้กิจการเติบโต 100%
บริษัทเข้าจดทะเบียนใน mai ปลายปี 2550 พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อเป็น SIMAT
ปัจจุบันหลังการขายหุ้นล็อตล่าสุดบริษัทมีทุนจดทะเบียน 83.1 ล้านบาท สัดส่วนของ
“ทองคำ” ประมาณ 30% ผู้ร่วมทุนมาเลเซีย 35% ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อยเขากล่าวว่าเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปหมุนเวียนทำธุรกิจ เพราะสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทสูงถึง 3 เท่า เนื่องมาจากบริษัทลูก ETech ในมาเลเซียให้เครดิตเทอมรัฐบาลมาเลเซีย 34 เดือน มากกว่าเครดิตเทอมของบริษัทที่มีเพียง 3060 วัน ช่องว่างนี้จึงใช้การกู้เงินจากธนาคาร
อย่างไรก็ตาม
“ทองคำ” กล่าวว่า เครดิตดังกล่าวดีมาตลอด โดยบริษัทลูกที่มาเลเซียทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท วงเงินกู้ธนาคาร 800 ล้านบาท และมีรายได้ปีนี้ 1,400 ล้านบาท ที่มาจากรัฐบาลมาเลเซียปัจจุบันยอดขายจากบริษัทลูกที่มาเลเซีย นับเป็นยอดขายส่วนใหญ่ของบริษัท โดยมียอดขายจาก SIMAT เพียง 400 ล้านบาท
“
ปีนี้เรารับรู้รายได้จากมาเลเซียเต็มปี และจะมีกำไรจากบริษัทนี้ขั้นต่ำ 20 ล้านบาท จากสัดส่วนการถือหุ้น 60%2 ปีที่เข้าจดทะเบียนใน mai บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,526 ล้านบาท และ 9,735 ล้านบาท ตามลำดับ จากรายได้ 200300 ล้านบาท ในระยะตั้งบริษัทมาเป็นระดับพันล้านบาท และปีนี้คาดจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิธุรกิจไทยสูงกว่ามาเลเซีย เพราะขายบริการมากกว่าในอัตรา 8% และ 12% ตามลำดับ
ลูกค้าของ SIMAT ในไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มค้าปลีก อาทิ เทสโก้ โลตัส เซเว่นอีเลฟเว่น บิ๊กซีบางสาขา
เขากล่าวว่ารายได้อนาคตของบริษัทจะเติบโตตามงบประมาณของรัฐบาล โดยบริษัทนอกจากมีบริษัทลูกที่มาเลเซียแล้ว ที่ประกันกำไรขั้นต่ำ 20 ล้านบาท (SIMAT ถือหุ้น 60%) ยังมีบริษัทลูกในเวียดนาม โดยการลงทุนบริษัทลูกที่เวียดนามรับประกันกำไรขั้นต่ำให้ปีละ 1012 ล้านบาท โดยที่เวียดนามค้ำประกันกำไร 3 ปี ปีนี้เป็นปีสุดท้าย (SIMAT ถือหุ้น 40%)
“
รายได้อนาคตของบริษัทในต่างประเทศจะเติบโตตามงบประมาณรัฐบาล โดยเวียดนามยังโตได้อีกมาก”ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้สูงถึง 800900 ล้านบาท ที่จะรับรู้ในปีนี้
โครงสร้าง SIMAT ประกอบด้วย
“ทองคำ” ถือหุ้น 45% ในบริษัท แกรนด์ โฟล์ (บริษัทจดทะเบียนในมาเลเซีย) บริษัท แกรนด์โฟล์ ถือหุ้น 35% ใน SIMAT และ SIMAT ถือหุ้นในบริษัทในเวียเดนามและมาเลเซีย ทำให้การดำเนินนโยบายธุรกิจเป็นเครือข่ายSIMAT มีนโยบายปันผลขั้นต่ำ 50% ของกำไรสุทธิ
เขาบอกว่าตอนนี้งานเป็นระบบมากขึ้น ทำให้เขามีเวลาว่างไปตีกอล์ฟกับลูกค้า พักผ่อนกับครอบครัว โดยครอบครัวนี้มีบุตรชายคนเดียววัย 14 ปี เรียนโรงเรียนนานาชาติอเมริกา สกูล ออฟ แบงค็อก และจะส่งลูกไปต่อไฮสกูลที่อเมริกา


