‘แกมโบล’แตะหลากสี ขวัญใจวัยโจ๋อาเซียน
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
จากจุดเริ่มต้นที่รับจ้างผลิตรองเท้ากีฬาให้แบรนด์ดังระดับโลกมานาน แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองน่าจะเป็น “ทางรอด” ที่จะช่วยทำให้ธุรกิจยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงกว่า จึงทำให้ “แกมโบล” ถือกำเนิดขึ้นมา และปัจจุบันกำลังผงาดออกสู่ตลาดการค้าโลก
ศักดิ์ดา โตรื่น ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัท บิ๊กสตาร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าแบรนด์แกมโบล เล่าว่า หลังจากแกมโบลได้รีแบรนด์ตัวเองครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2557 ก็ได้ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2560 จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มตลาดรองเท้าแตะลำลองทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ขณะที่เป้าหมายระยะต่อไป หรืออีก 10 ปีข้างหน้า จะต้องก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับท็อปเทนของโลกให้ได้
ทั้งนี้ มั่นใจว่าแกมโบลจะสามารถเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน โดยจะเน้นเรื่องความเป็นพรีเมียมของแบรนด์ ไม่แข่งขันด้านราคากับแบรนด์อื่นๆ ที่จับกลุ่มตลาดทั่วไป และการที่แกมโบลมีเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะตัว “GBOLD Technology™” ก็ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยด้านการแปรรูปวัตถุดิบและสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้าได้อีกด้วย
จากปัจจัยเหล่านี้ได้ช่วยส่งเสริมให้แกมโบลสามารถขยายฐานลูกค้าในตลาดต่างประเทศได้อย่างดี ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตสินค้าประมาณ 5-6 หมื่นคู่/วัน มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 80% โดยส่งออกไปยังกว่า 35 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งในสหภาพยุโรป (อียู) ตะวันออกกลาง รัสเซีย เอเชีย และประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มซีแอลเอ็มวี
ศักดิ์ดา บอกอีกว่า สำหรับตลาดชาติอาเซียนแกมโบลได้ส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายเกือบทุกประเทศแล้ว ซึ่งตลาดหลักของแกมโบลในอาเซียน คือ “เวียดนาม” และ “มาเลเซีย” โดยเวียดนามมีการส่งออกเข้าไปเดือนละ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ (ตู้ละ 2 หมื่นคู่) และคาดว่าปี 2559 การส่งออกเข้าไปยังเวียดนามตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 18 ตู้ เนื่องจากผู้บริโภคชาวเวียดนามมีความนิยมและชื่นชอบสินค้าไทยมาก รวมถึงมีกำลังซื้อดี จึงทำให้แกมโบลมีส่วนแบ่งตลาดในเวียดนามอยู่ที่ 30% เป็นเบอร์ 1 ของตลาด
ขณะที่ตลาดมาเลเซียนั้นได้ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายเฉลี่ยปีละ 6-7 ตู้คอนเทนเนอร์ และมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนตลาดเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขายบริเวณชายแดน โดยสินค้าที่เข้าไปจำหน่ายในกลุ่มนี้จะเป็นรูปแบบที่มีราคาไม่สูงนัก เนื่องจากลูกค้ายังมีกำลังซื้อไม่มาก
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่อัตราการเติบโต ตลาดเพื่อนบ้านกลุ่มนี้มีการเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนที่ขยายตัวเฉลี่ย 10% ต่อปี
“การทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านมีความยากง่ายต่างกันไป ประเด็นที่ยากที่สุดคงจะเป็นเรื่องราคา แต่แกมโบลก็กำหนดจุดยืนชัดเจนแล้วว่าจะไม่ลงไปแข่งด้านราคา นอกจากจะส่งสินค้าที่มีราคาต่ำไปทำตลาด ซึ่งนั่นทำให้เกิดความรู้สึกว่า หากใครใส่รองเท้าแกมโบลถือว่าไฮโซ เหมือนกับที่คนเมียนมานิยมหิ้วปิ่นโตตราหัวม้าลาย และแกมโบลก็พยายามทำการตลาดรูปแบบเดียวกับในประเทศไทย”
สำหรับแผนการตลาดในอนาคต แกมโบลจะขยายตลาดและตัวแทนจำหน่ายในเวียดนามและมาเลเซียเพิ่มเติม โดยในเวียดนามกำลังมองหาตัวแทนจำหน่าย เพื่อเจาะตลาดเมืองไคฟ่งในช่วงต้นปี 2559 จากปัจจุบันในเวียดนามมีตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว 2 ราย ที่โฮจิมินห์ และฮานอย
ขณะที่มาเลเซียกำลังอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มอีก 1 ราย จากปัจจุบันมีอยู่ 1 รายที่กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ และบริษัทก็มีแผนจัดโรดโชว์ในตลาดอาเซียนเพื่อกระตุ้นการขายด้วย
ด้านตลาดใน สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมา อยู่ระหว่างรอดูลู่ทางหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0% ซึ่งบริษัทจะเข้าไปทำตลาดเอง รวมทั้งเริ่มมองหาโอกาสขยายตลาดในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเพิ่มเติม หลังจากที่เคยทดลองไปแล้ว แต่ประสบปัญหาการแข่งขันด้านราคา
“แนวโน้มตลาดอาเซียนจะโตมากขึ้น รายได้ของเพื่อนบ้านที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อเพิ่มตาม และนั่นก็จะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย สินค้าไทยที่จะเข้าไปทำตลาด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังเรื่องของสินค้าราคาถูกที่จะหลั่งไหลเข้ามาแข่งขันในตลาดด้วย ดังนั้นการสร้างแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองและทำให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าจะสามารถช่วยให้ขายสินค้าได้”
สำหรับตลาดในประเทศไทย ปัจจุบันแกมโบลถือเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มรองเท้าแฟชั่นวัยรุ่น และเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มรองเท้าระดับแมส โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 15% ใกล้เคียงกับ กีโต้ และแอดด้า ที่ผ่านมาได้ผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายแล้วประมาณ 200-300 รุ่น ส่วนใหญ่ 90% เป็นรองเท้าแตะ 5% เป็นรองเท้าผ้าใบ และที่เหลือ 5% เป็นรองเท้ารัดส้น
นอกจากนี้ แกมโบลยังมีจุดเด่นเรื่องการทำตลาดที่ไม่เหมือนใคร โดยจะไม่เน้นการโฆษณามากนัก แต่จะเน้นทำการตลาดผ่านกลุ่มผู้ใช้จริงโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ตรงและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใน 4 กลุ่มไลฟ์สไตล์ คือ 1.EZY (อีซี) เน้นความเรียบง่าย ความสบาย 2.ZAPP (แซบ) เน้นสีสันสดใส ใส่แล้วโดดเด่น อินเทรนด์ 3.ZAH (ซ่า) เน้นลวดลายกราฟฟิก มีดีเทลงานอาร์ต สำหรับเหล่าผู้ชื่นชอบงานกราฟฟิตี้และกีฬาเอ็กซ์ตรีม 4.ZEEK (ซีค) เน้นงานลุยๆ สำหรับวัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ที่รักการท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นรองเท้าแตะของวัยรุ่นที่เข้าถึงทุกสไตล์การใช้งาน
และนี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของบริษัทรับจ้างผลิตสินค้าของไทยที่สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองจนได้รับการยอมรับจากเวทีโลก


