จับสัญญาณ 4จี ปีนี้บูมธุรกิจ คลาวด์-โมบิลิตี้-อี-คอมเมิร์ซ-โลจิสติกส์
ปีวอกนี้มีหลายธุรกิจที่รุ่งและร่วง จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โดย...ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญ
ปีวอกนี้มีหลายธุรกิจที่รุ่งและร่วง จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่คาดการณ์ว่า ธุรกิจเด่นอย่างความงาม ไอที และท่องเที่ยวนั้น จะเป็นธุรกิจที่ส่งเสริมให้ภาคเศรษฐกิจไทยปี 2559 มีการขยายตัวไม่น้อยกว่า 4% และในประเทศไทยที่มีการประมูลคลื่นสัญญาณ 900 และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ สำหรับใช้พัฒนาเป็น 4จี นั้น จะทำให้เกิดการขยายตัวทั้งธุรกิจและอาชีพอีกมาก
อย่างที่ บิล เกตส์ เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2556 ว่า “อีก 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจใดที่ไม่ทำการตลาดออนไลน์ มีโอกาสจะล่มสลาย” จากคำกล่าวนี้ ผ่านมา 3 ปีแล้ว จะเห็นได้ว่าโลกออนไลน์ในปัจจุบันรุดหน้าไปมาก ภาคธุรกิจหลายรายก็มีโอกาสในการทำตลาดมากขึ้น
บัญญัติ เกิดนิยม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภายในปี 2561 ที่มีการเปิดใช้บริการ 4G/LTE ในประเทศไทย จะมีการใช้งานเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า หรือประมาณ 30% ของจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งหมด
“ปัจจุบันยังคงมีการใช้งานโทรศัพท์ที่เป็นเครื่องสำหรับโทรอย่างเดียวอยู่บ้าง เพราะคนบางกลุ่มอาจจะใช้เพื่อสื่อสารเท่านั้น แต่ภายในปี 2561 เชื่อว่ามากกว่า 90% ของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือจะเป็นสมาร์ทโฟนทั้งหมด เพราะในปี 2558 ที่ผ่านมา ตัวเลขการใช้งานก็แตะไปที่ 60% แล้ว จึงเชื่อว่าการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายมือถือจะโตขึ้น 14 เท่าระหว่างปี 2558-2564” บัญญัติ กล่าว
ธุรกิจโทรคมนาคมน่าจะเป็นธุรกิจหลักที่เตรียมการลงทุนสำหรับวางโครงข่ายและติดตั้งเสาสัญญาณเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานของผู้บริโภค และนั่นจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภาพรวมธุรกิจไอทีบูม
“ผมประเมินว่าทุกโอเปอเรเตอร์จะมีการใช้งบอย่างน้อยปีละ 4 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าบางค่ายจะไม่ได้คลื่นมาเลย แต่ก็ต้องหาวิธีมีคลื่นมาถือในมือ เพื่อย้ายลูกค้าบนฐาน 2จี เดิม ให้มาใช้งาน 4จี ได้ทันที ซึ่งไม่ได้ใช้ตัวเงินเยอะ เพราะเป็นการอัพเดทเทคโนโลยีมากกว่า และในปี 2559 จะมีการเปลี่ยนเครื่องใหม่ ทำให้เครื่องในตลาดมีไม่น้อยกว่า 10 ล้านเครื่อง” บัญญัติ กล่าว
ทางด้านของผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีชื่อดังอย่าง เดลล์ คอร์ปอเรชั่น มองว่าเทรนด์ธุรกิจมีความต้องการในเรื่องของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยลดภาระมากขึ้น เพื่อให้เป็นการพลิกโฉมธุรกิจไปสู่ดิจิทัล และเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลง คือ คลาวด์ บิ๊กดาต้า และอะนาไลติกส์ เพราะการใช้งานอุปกรณ์ประเภทโมบิลิตี้ โซเชียลเน็ตเวิร์ก และอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์จะเชื่อมโยงกัน ทำให้ต้องมองข้ามไปถึงนำไปใช้งานได้
ธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมายังถือว่าภาคธุรกิจชะลอการใช้จ่ายอยู่ ทำให้ช่วงปลายปี 2558 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2559 มีทิศทางที่ดีขึ้น บริษัทคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพราะหลายองค์กรมีแนวโน้มที่จะลงทุนด้านอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์
“การทำอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์นั้น แสดงว่าองค์กรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เพื่อให้การใช้งานเครือข่ายระหว่างสาขาเป็นไปได้อย่างดี เพราะต้องรับส่งข้อมูลข้ามไปมา ต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างคลาวด์และโมบิลิตี้ ดังนั้นหากภาคเอกชนต้องการที่จะลงทุนต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง แต่ต้องคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะผลตอบแทนที่ได้กลับมาในอนาคตคุ้มค่าแน่นอน” ธเนศ กล่าว
ธเนศ กล่าวอีกว่า มีหลายองค์กรธุรกิจที่เปิดรับแพลตฟอร์มต่างๆ มากขึ้น ระบบรักษาความปลอดภัยจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกองค์กรต้องการ เพื่อปรับตัวธุรกิจและรักษาสถานภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ โดยจะมีลูกค้าในกลุ่ม Client Solution ขององค์กรที่มีความต้องการที่จะหาสินค้าทดแทนเพื่อรองรับการใช้งานระบบแชต หรือมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์มากขึ้น
หลังเสร็จสิ้นการประมูล 4จี ทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมมีการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้เดลล์เข้าไปนำเสนอสินค้าในกลุ่มเน็ตเวิร์กที่เปิดกว้างเรื่องการทำงานร่วมกันระหว่างผลิตภัณฑ์มากขึ้น และทำงานได้ตามความต้องการ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจเอนเตอร์ไพรส์ที่มีการลงทุนเรื่องเครือข่ายภายในองค์กรมากขึ้น ทำให้ตลาดแท็บเล็ตภายในองค์กรน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี กล่าวว่า เทคโนโลยีที่จะบูมในปี 2559 นั้น ยังคงหนีไม่พ้นคลาวด์และอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ หรือไอโอที ทำให้มีผู้ให้บริการทั้งในและนอกประเทศเข้ามามากขึ้น และกลุ่มเอสเอ็มอีเองก็มีทิศทางความต้องการลงทุนในด้านคลาวด์ก่อน
“การผลักดันของภาครัฐจะมองเพียงแค่อี-คอมเมิร์ซไม่ได้ จะต้องมองในกลุ่มผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านบริการที่ตอบโจทย์การใช้งานให้มากขึ้น ยกตัวอย่างอะโกด้า หรือบุ๊กกิ้งดอตคอม ที่เป็นผู้ให้บริการระบบจองห้องพักจากต่างประเทศ เข้ามาสร้างโอกาสการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยและสร้างรายได้กลับไปอย่างมหาศาล ดังนั้นหากมีการผลักดันนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นหรือซอฟต์แวร์ของไทย ให้มีทักษะความรู้ความสามารถในการพัฒนาบริการได้ทัดเทียมกัน และส่งเสริมสินค้าของไทยไปให้ผู้ใช้งานในต่างประเทศเหมือนการสนับสนุนสินค้าโอท็อป ก็จะช่วยสร้างโอกาสและรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล” ธนชาติ กล่าว
ธนชาติ กล่าวอีกว่า เราจะเป็นแค่ผู้บริโภคไปตลอดไม่ได้ต้องเร่งสร้างบุคลากรไอทีเพื่อให้เป็นคลังสมองในการพัฒนาประเทศ และควรมองข้ามไปอีกขั้น คือ จะมองแค่คลาวด์ก็ไม่ได้ ต้องมองไปถึงอะนาไลติกส์ หรือการวิเคราะห์เลย ซึ่งการมองให้กว้างและไกลจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาธุรกิจไปจนถึงระดับประเทศด้วย
ภาพรวมการลงทุนไอทีน่าจะมีการลงทุนอย่างน้อย 10% เพราะการลงทุนชะลอมา 1-2 ปีแล้ว จึงทำให้ไตรมาสแรกของปีจะเป็นในส่วนโครงสร้างพื้นฐานก่อน หลักๆ คืออุปกรณ์โครงข่ายสำหรับรองรับ 4จี และช่วงไตรมาส 2 อุปกรณ์สื่อสารที่รองรับ 4จี น่าจะมาแรง จากนั้นจึงเป็นกลุ่มธุรกิจออนไลน์
ทั้งนี้ 4จี จะเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชนมากกว่า แต่ในส่วนของภาครัฐกลับไม่มีการลงทุนมากเท่าที่ควร เพราะต้องรอดาต้าเซ็นเตอร์ส่วนกลางที่จะให้บริการ หรือการเดินตามแผนเรื่องของข้อมูลส่วนกลาง ต้องดูว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะเหมือนภาครัฐจะสนับสนุนเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี แต่ก็ยังไม่มากเท่าไหร่นัก
แม้ว่าในปี 2558 ที่ผ่านมา ทุกฝ่ายจะคาดการณ์เกี่ยวกับอี-คอมเมิร์ซว่าจะบูม แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร ทำให้ต้องมองไปข้างหน้าแทนว่า ปี 2559 นี้แหละ ที่อี-คอมเมิร์ซจะบูมอย่างแท้จริง
ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า (Priceza.com) ผู้บริหารเว็บไซต์ค้นหาสินค้าและเปรียบเทียบราคา เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจค้าขายออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ มีการเติบโตขึ้นอย่างแน่นอนจากโปรโมชั่นที่จัดกระหน่ำกันตั้งแต่ปลายปี 2558 จนเกิดสงครามราคาในตลาดออนไลน์จากเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นชื่อดัง แม้กระทั่งแบรนด์ค้าปลีกเองก็จะหันมาทำตลาดจริงจังมากขึ้น
ทางด้าน ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า การซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ เพื่อสร้างรายได้และหารายได้เสริมนั้น อีกช่องทางหนึ่งที่มีความสำคัญคือ E-Logistic ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากหลาย คาดว่าจะเข้ามาทดแทนระบบขนส่งแบบเดิมของไทย
“ผู้ค้าออนไลน์ของไทยนิยมใช้บริการไปรษณีย์ไทยแทบทั้งหมด เพราะราคาถูก แต่ปัญหาการจัดส่งที่ไม่รัดกุมพอทำให้เกิดผู้ให้บริการเอกชนเพิ่มขึ้นมาก โดยจะมีทั้งรูปแบบของผู้ให้บริการขนส่ง (E-Delivery) เป็นการขนส่งสินค้าหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถยนต์ รถบรรทุก หรือมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้มีความรวดเร็วและตรวจสอบตำแหน่งการส่งได้ผ่านทางแอพพลิเคชั่น หรือบริการคลังสินค้าพร้อมจัดส่ง หรือที่เรียกว่า E-Fulfilment ซึ่งเป็นร้านค้าออนไลน์ที่มีคนมาบริหารการส่งสินค้าแบบครบวงจร ทำให้ภาคธุรกิจแบบเก่า หากไม่สตรองพอก็คงต้องหันมาจับช่องทางออนไลน์รับกระแส 4จี บูมกันได้แล้ว” ภาวุธ กล่าว


