เปิดกลยุทธ์รพ.ยันฮี
โดย...จะเรียม สำรวจ
โดย...จะเรียม สำรวจ
หากจะพูดถึงโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในด้านของการศัลยกรรมและเสริมความงามในประเทศไทย หลายคนคงจะนึกถึงโรงพยาบาลยันฮี แต่ก่อนที่จะประสบความสำเร็จมากจนถึงวันนี้ได้ โรงพยาบาลยันฮีก็ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ก่อนที่โรงพยาบาลยันฮีจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งในด้านของการรักษาโรคทั่วไปและศัลยกรรมเสริมความงาม โรงพยาบาลยันฮีได้ทำธุรกิจสถานพยาบาลในรูปแบบของคลินิกมาก่อน พอเริ่มเป็นที่รู้จักและมีคนไข้เพิ่มขึ้นก็ได้มีการปรับเปลี่ยนการบริการจากคลินิกเป็นโรงพยาบาล
นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลยันฮี เปิดเผยว่า ช่วงที่เปิดโรงพยาบาลมาใหม่ๆ ตอนนั้นคนยังไม่รู้จักโรงพยาบาลยันฮี ทำให้โรงพยาบาลต้องหากลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ ด้วยบริการใหม่ๆ นั่นก็คือศัลยกรรมตกแต่ง
แต่เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา หรือประมาณปี 2541-2542 การทำศัลยกรรมตกแต่งยังไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ที่ต้องการทำศัลยกรรมตกแต่งจะนิยมเดินทางไปทำที่ประเทศอเมริกา หรือฮ่องกง ทำให้โรงพยาบาลทำการตลาดยากมาก ส่งผลให้ต้องมีการรณรงค์ภายใต้สโลแกน “สวยอย่างปลอดภัย” เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไข้ที่เข้ามารับการรักษา
หลังจากโรงพยาบาลยันฮีเริ่มออกมารณรงค์และชูจุดเด่นของการรักษาพยาบาลด้วยบริการศัลยกรรมตกแต่ง ส่งผลให้ปี 2545 เป็นปีที่โรงพยาบาลยันฮีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการถือกำเนิดของคลินิกเสริมความงามในประเทศไทย ซึ่งจากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ทำให้ปี 2555 โรงพยาบาลยันฮีได้มีการเปลี่ยนสโลแกนการทำตลาดในด้านของศัลยกรรมตกแต่งเป็น “สวยด้วยแพทย์ สวยด้วยยันฮี”
นพ.สุพจน์ กล่าวต่อว่า วันนี้สังคมเปลี่ยน แต่สิ่งที่เหมือนเดิม คือ ผู้หญิงทุกคนต้องการให้ตัวเองสวยดูดี ซึ่งเมื่อก่อนการทำศัลยกรรมอาจไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม แต่ปัจจุบันเริ่มเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้น เนื่องจากหลายองค์กรให้ความสำคัญกับพนักงานที่หน้าตา เพราะการมีพนักงานที่หน้าตาดูดีถือเป็นหน้าตาขององค์กร
นอกจากจะให้ความสำคัญกับบริการในด้านของความงามแล้ว โรงพยาบาลยันฮียังให้ความสำคัญในด้านของการรักษาโรคทั่วไป เพราะบริการดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญในด้านของการรักษาพยาบาล และเป็นบริการที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมากนัก เมื่อเกิดวิกฤตในด้านของเศรษฐกิจและการเมือง
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยลบทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้ก็ส่งผลให้โรงพยาบาลยันฮี ได้รับผลกระทบไปพอสมควร เนื่องจากต่างชาติที่เคยเดินทางเข้ามารักษาปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คนไข้ภายในประเทศเองก็มีการปรับลดค่าใช้จ่าย ด้วยการหันมาซื้อยาจากร้านขายยารับประทานเองมากขึ้น เมื่อรับประทานยาหายก็ไม่มาโรงพยาบาล แต่ถ้าไม่หายจึงจะเดินทางมารักษาในโรงพยาบาล
นพ.สุพจน์ กล่าวอีกว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่โรงพยาบาลยันฮีมีผลประกอบการเติบโตน้อยสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากทุกปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลจะมีรายได้เติบโตประมาณ 10-15% แต่ปีนี้มีรายได้เติบโตเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2560 เช่นเดียวกับภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาล หลังจากนั้นประมาณปี 2561 ธุรกิจโรงพยาบาลน่าจะกลับมาเติบโตตามปกติอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีปัจจัยลบรุมเร้า แต่ นพ.สุพจน์ ก็ขอพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการกลับมาปรับปรุงหลังบ้านให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการบริการทางการแพทย์ ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดศูนย์การแพทย์แผนจีนครบวงจร ซึ่งเป็นอีกแขนงหนึ่งของแพทย์ทางเลือก การเปิดให้บริการศูนย์ล้างลำไส้ การเปิดให้บริการศูนย์รักษาด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% และศูนย์คีเลชั่น
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะใช้งบอีกประมาณ 800 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอีก 1 อาคาร เพื่อรองรับผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกที่เข้ามาใช้บริการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างฐานราก คาดว่าปีหน้าจะเริ่มก่อสร้างในส่วนของตัวอาคาร หลังจากนั้นคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 20 เดือน จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้มีเตียงผู้ป่วยรองรับคนไข้ในได้อีกประมาณ 200 เตียง จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 400 เตียง
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท สร้างโรงพยาบาลยันฮี เนอร์สซิ่งโฮม ขนาด 600 เตียง ที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม เพื่อดูแลผู้สูงอายุอย่างครบวงจร เนื่องจากประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
ความมุ่งมั่นและแผนธุรกิจที่ นพ.สุพจน์ ออกมาประกาศครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ดีเลยทีเดียว


