กรุงไทยรื้อใหญ่วิธีจัดชั้นหนี้

ธนาคารกรุงไทยยอมรับสิ้นปีเอ็นพีแอลยังเพิ่มต่อ หลังปรับเงื่อนไขจัดชั้นหนี้

นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปีนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบาก หลังจากครึ่งปีแรกมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นจากลูกค้าสินเชื่อบ้าน และยังซ้ำเติมจากการหยุดกิจการโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษของบริษัท สหวิริยา สตีล อินดัสทรี ที่ถูกจัดชั้นเป็นเอ็นพีแอลทั้งหมด ส่งผลให้เอ็นพีแอลพุ่งขึ้นจาก 2.41% เมื่อสิ้นปี 2557 เป็น 4.03% เมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปีนี้

ทั้งนี้ ในไตรมาสสุดท้ายของปี เอ็นพีแอลของธนาคารยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจชะลอแล้ว ธนาคารยังถือโอกาสที่เอ็นพีแอลปรับขึ้น ทำการปรับปรุงโครงสร้างการจัดชั้นเอ็นพีแอลใหม่ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารพาณิชย์อื่น จากเดิมลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอล หากกลับมาชำระหนี้เพียง 1 เดือนจะปรับเป็นหนี้ปกติ แต่โครงสร้างใหม่ลูกค้าจะต้องชำระต่อเนื่อง 3 เดือนจึงจะเป็นหนี้ปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าแข็งแรงจริง

"เราปรับเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ของรายย่อยเข้มขึ้น ซึ่งจะทำให้ตัวเลขเอ็นพีแอลกระตุกขึ้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี ไหนๆ ปีนี้ก็อีนุงตุงนังแล้ว ทั้ง SSI และเอ็นพีแอล ถือโอกาสปรับโหมด ปีหน้าจะได้ตัวเบาขึ้น" นายวรภัค กล่าว

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างสายงานรายย่อย (Retail Transformation) มีส่วนช่วยอย่างมากในการคุมเอ็นพีแอลไม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่านี้ โดยเฉพาะการรายงานหนี้สงสัยจะสูญ จากเดิมใช้เวลา 45 วัน เปลี่ยนเป็นรายงานแบบรายวัน ทำให้สกัดความเสี่ยงได้เร็ว เช่น พบเอ็นพีแอลมากในสาขานี้ก็จะระงับไม่ให้สาขาดังกล่าวปล่อยสินเชื่อ หรือพบโครงการใดมีเอ็นพีแอลใหม่มากผิดปกติ ก็จะชะลอและเข้าไปตรวจสอบว่าเกิดปัญหาอะไร

นายวรภัค กล่าวว่า เอ็นพีแอลปี 2559 ยังมีแนวโน้มขาขึ้นอยู่ แต่อัตราชะลอลงและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นหลังปรับปรุงเกณฑ์จัดชั้น โดยคาดว่าเอ็นพีแอลจะยังมาจากสินเชื่อบ้านที่ปล่อยไปมากช่วงปี 2553-2555 ส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอส เอ็มอี) ที่ตลาดมองว่าเสี่ยงนั้น สำหรับธนาคารกรุงไทยไม่มีปัญหาเพราะส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีรายใหญ่ซึ่งยังแข็งแรงดีอยู่

นอกจากนี้ ธนาคารยังวาง เป้าหมายที่จะรุกขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดกลางและขนาดเล็ก เพราะมั่นใจระบบคัดกรองสินเชื่อที่ปรับปรุงใหม่ ว่ามีประสิทธิภาพพอ