สยายปีกจาก ‘เส้นหมี่’ สู่ตลาดความงามแสนล้าน
โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน
โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน
อุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศไทยมายาวนาน คือ ข้าว ที่มีผลผลิตข้าวเปลือกปีละ 25-30 ล้านตัน มีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมข้าวไทยประสบปัญหาเรื่องราคาตกต่ำ ทำให้หลายหน่วยงานระดมกำลังมาแก้ปัญหาข้าวไทย และยกนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าว รวมถึงบริษัท โรงเส้นหมี่ชอเฮง ที่ปลุกตลาดข้าวไทยสู่สินค้าเพื่อความงาม ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท
“วราทัศน์ วงศ์สุรไกร” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงเส้นหมี่ชอเฮง ผู้ผลิตและจำหน่ายในอุตสาหกรรมเส้นหมี่มายาวนานกว่า 80 ปี ก่อนปรับขยายมาทำธุรกิจแป้งเด็ก ในชื่อแบรนด์ แป้งเด็กไร้ซแคร์ ภายใต้บริษัท เนเชอร์แคร์ และเพิ่มสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความงามคือ แป้งทาหน้าแบรนด์ “LADY AUDREY” เพื่อเจาะกลุ่มเครื่องสำอางและกลุ่มลูกค้าผู้หญิง
“บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการผลิตแป้งข้าวเจ้ามายาวนาน ทำให้รู้คุณสมบัติและทราบดีว่า ข้าวเจ้าไทยมีประโยชน์และสามารถนำมาพัฒนาเป็นสินค้าได้จำนวนมาก โดยเฉพาะในตลาดความงามซึ่งมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท” วราทัศน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมระดับสูงมาก โดยมีทีมงานวิจัยของตัวเอง มีทีมนักวิทยาศาสตร์รวม 20 คน มุ่งพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มอาหาร และกลุ่มไม่ใช่อาหาร ซึ่งที่ผ่านมาการใช้งานวิจัยและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ จะทำให้ต้นทุนของบริษัทลดลงได้ถึง 5-10% รวมทั้งช่วยเพิ่มคุณภาพของสินค้าให้สูงขึ้น มีมูลค่ามากขึ้น
สำหรับแผนงานของบริษัทต่อไปจากนี้จะให้ความสำคัญทั้งกลุ่มอาหารและกลุ่มไม่ใช่อาหาร โดยมีแผนปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ (แพ็กเกจจิ้ง) ของสินค้าใหม่ และสนใจพัฒนาสินค้าใหม่ ทั้งกลุ่มบะหมี่สำเร็จรูปที่กำลังศึกษาตลาด และหาโอกาสขยายตลาดส่งออกมากขึ้น ทั้งในอาเซียน ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย รวมถึงประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐ ซึ่งสินค้าแต่ละรายการที่ทำตลาดต่างประเทศก็มีการจดสิทธิบัตรไว้ด้วย
ในปี 2558 นี้ บริษัทได้พัฒนาสินค้าใหม่ คือ “แป้งไฮโดรโฟบิค” แป้งข้าวเจ้าดูดซับความมันและกลิ่น โดยได้รับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมข้าวไทยระดับอุตสาหกรรม ประจำปี 2558 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. เพราะมีคุณสมบัติในการดูดเหงื่อและดูดกลิ่น รวมทั้งไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันด้วย ถือเป็นนวัตกรรมครั้งแรกในโลกจากผู้ประกอบการไทยที่ได้คิดค้นขึ้น
วราทัศน์ กล่าวว่า “แป้งไฮโดรโฟบิค” สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากแป้งข้าวเจ้าราคา 30 บาท/กิโลกรัม (กก.) เป็นแป้งข้าวเจ้าไฮโดรโฟบิคเพื่อควบคุมกลิ่นตัวและเชื้อราตามร่างกาย มีราคา 1,200 บาท/กก. หรือเท่ากับสร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 40 เท่า โดยมีแผนเจาะตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ที่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายของผู้ชาย มีสัดส่วนประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวม หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 960 ล้านบาท มีการเติบโต 14% ส่วนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้หญิง มีส่วนแบ่ง 60% หรือคิดเป็นมูลค่า 1,440 ล้านบาท มีการเติบโต 7%
ทั้งนี้ จะนำสินค้าเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2559 เน้นรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวด ผ่านช่องทางจำหน่ายหลักของบริษัทที่มีตัวแทนกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ และมีแผนขยายตลาดไปในช่องทางอื่นให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ และการทำตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
วราทัศน์ กล่าวต่อว่า ในปี 2558 ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไม่ดีนัก มีผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทเล็กน้อย แต่ยอดขายในต่างประเทศยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายในประเทศ 60% และส่งออก 40% โดยปีต่อไปจะรุกสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าทั่วประเทศรู้จักมากขึ้น เพื่อสร้างสินค้าที่แตกต่างและมีนวัตกรรมสู่ตลาดโลกต่อไป
ถือเป็นผู้ประกอบการไทยที่ยังมีความหวังและมีอนาคตกับข้าวไทยอีกมาก หากเอกชนไทยมาร่วมเปลี่ยนความคิดจะสามารถพลิกอุตสาหกรรมข้าวไทยให้เติบโตได้มากขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมหาศาลด้วยนวัตกรรม


