วางแผนก่อนตาย ไม่ต้องจ่ายภาษีมรดก (1)
ทุกวันที่ 31 ต.ค. หลายคนก็มักจะสนุกกับการแกล้งเป็น “คนตาย” ตามความนิยมของเทศกาลฮัลโลวีน
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
ทุกวันที่ 31 ต.ค. หลายคนก็มักจะสนุกกับการแกล้งเป็น “คนตาย” ตามความนิยมของเทศกาลฮัลโลวีน บางคนเตรียมตัวมาเป็นวันๆ ว่าจะแต่งเป็นผีแบบไหนดี แต่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคิดถึงวันที่เราไม่ต้องแกล้งเป็นคนตาย ว่าเราควรจะเตรียมตัวอะไรบ้าง เพราะมันน่ากลัวเกินไป
แต่เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร และบางทีการไม่เตรียมตัวจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่ให้ชัดเจนอาจจะน่ากลัวมากกว่า โดยเฉพาะคนที่มีทรัพย์สมบัติมากๆ มีลูกหลายๆ คน เพราะมันอาจจะเป็นชนวนของความแตกแยกในครอบครัวก็ได้
จริงๆ แล้วการเตรียมตัวก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แค่ไปสำรวจดูว่าเรามีทรัพย์สินอะไร อยู่ตรงไหน มูลค่าประมาณเท่าไร จากนั้นก็มาจัดทำพินัยกรรมว่าจะยกทรัพย์สมบัติที่มีให้ใคร จำนวนเท่าไร แถมยังสบายใจได้ว่า ทรัพย์สมบัติที่เป็นของเราจะถูกส่งต่อไปให้คนที่เราอยากจะให้จริงๆ
นอกจากนี้ ถ้าไม่อยากทิ้ง “ภาระภาษี” ไว้ให้คนที่รับมรดกต้องเดือดร้อน ก็ต้องเตรียมวางแผนภาษีไว้ให้ด้วย เพราะถ้าเราเสียชีวิตหลังจากวันที่ 1 ก.พ. 2559 คนรับมรดกมีหน้าที่เสียภาษีมรดก ตาม “พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558”
รับมรดกมากจ่ายมาก
ทีนี้ก็ได้เวลาเปิดตู้เซฟ แล้วดูว่า ในรายการทรัพย์สินทั้งหมดของเราอยู่ใน 5 ประเภท ต่อไปนี้หรือไม่
1.อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน และบ้าน
2.หลักทรัพย์ตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้น และหน่วยลงทุน
3.เงินฝากในบัญชีธนาคาร หรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
4.ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน เช่น รถยนต์ เรือยนต์ และเฮลิคอปเตอร์
5.ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา
เพราะถ้าเป็นทรัพย์สินใน 5 ประเภทนี้จะต้องนำไปคำนวณเป็นทรัพย์สินมรดกที่ต้องเสียภาษี ถ้านับรวมกันแล้วเกิน 100 ล้านบาท ถึงจะเสียภาษีมรดก แต่จะเสียเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทเท่านั้น
ถ้าคนที่ได้รับเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน จะเสียในอัตรา 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นคนอื่นจะเสียภาษีในอัตรา 10%
เช่น ลูกหลานได้รับมรดกตามพินัยกรรมของเจ้าคุณปู่ 101 ล้านบาท ก็จะนำเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท นั่นคือ 1 ล้านบาท มาคำนวณภาษีในอัตรา 5% เท่ากับ 5 หมื่นบาท เพราะฉะนั้นยังเหลือทรัพย์มรดกอีกตั้ง 100.95 ล้านบาท
แต่ถ้าหักกลบลบหนี้แล้วทรัพย์มรดกเหลือไม่ถึง 100 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี เพราะฉะนั้นคนที่มีมรดกไม่มากก็ไม่ต้องเป็นกังวลแทนลูกหลานมากนัก
มีมรดกมากอาจจะไม่ต้องจ่าย
แต่ต่อให้มีทรัพย์มรดกเกิน 100 ล้านบาท คนรับมรดกก็ไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ ถ้าเป็นคู่สมรสหรือมรดกที่เจ้ามรดกแสดงเจตนาให้ใช้มรดกนั้นเพื่อสาธารณประโยชน์
และแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งสองกรณีนี้ ก็ยังมีวิธีที่ทำให้คนรับมรดกไม่ต้องเสียภาษี หรืออาจจะเสียภาษีน้อยลง โดย ธัญญะ ซื่อวาจา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต แนะนำไว้ 7 วิธี (รายละเอียดตามภาพประกอบ)
แต่ทั้ง 7 วิธี ไม่ใช่คำแนะนำให้หนีภาษี เพราะการไม่ยื่นภาษีหรือยื่นภาษีเท็จจะมีความผิด และคนแนะนำให้ทำความผิดก็จะมีโทษด้วย
ถ้าไม่ได้มีการยื่นเสียภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ได้รับมรดกเกินกว่า 100 ล้านบาท จะถูกปรับไม่เกิน 5 แสนบาท แต่ถ้าจงใจยื่นข้อความเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี หรือมีเจตนาละเลย โดยฉ้อโกงหรือใช้อุบายเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี รวมทั้งผู้ที่แนะนำหรือสนับสนุน จะโดนจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ธัญญะ ยังบอกอีกว่า บางวิธีก็เหมาะกับ “มหาเศรษฐี” ที่มีทรัพย์สินเป็นพันล้านเท่านั้น เพราะมีต้นทุนในการวางแผนภาษีค่อนข้างมาก เช่น การตั้งทรัสต์ในต่างประเทศ หรือจัดโครงสร้างการถือหุ้นบริษัทครอบครัว จะเหมาะกับธุรกิจที่มีมูลค่ากิจการสูงๆ
ขณะที่การนำทรัพย์สินไปค้ำประกันเงินกู้เพื่อลดมูลค่าสุทธิของทรัพย์มรดก ก็ต้องคำนวณให้ดีว่าดอกเบี้ยที่ต้องเสียไปคุ้มกับภาษีที่ประหยัดได้หรือไม่
“ถ้าทรัพย์สินไม่มากก็ยอมเสียภาษีจะดีกว่า อาจจะถูกกว่าการจ้างนักวางแผนภาษี เพราะมีค่าธรรมเนียมสูง โดยจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าทรัพย์สิน เพราะฉะนั้นถ้าทรัพย์สินไม่ถึง 1,000 ล้านบาท คงไม่คุ้ม” ธัญญะ กล่าว
เพราะฉะนั้น วิธีที่น่าจะเป็นประโยชน์และทำได้ง่ายกว่าตามคำแนะนำของ ธัญญะ คือ
- กระจายมรดก
- ทยอยยกทรัพย์สินให้บุตร
- ทำประกันชีวิตโดยให้บุตรหลานเป็นผู้รับประโยชน์
สำหรับรายละเอียดของแต่ละวิธีจะทำอย่างไรนั้น ติดตามได้ในสัปดาห์หน้า


