การถอนคำให้การเดิม จากปฏิเสธเป็นรับสารภาพทำได้หรือไม่
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพสามารถทำได้หรือไม่ ตามกฎหมายทำได้ครับ ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 7531/2546 และฎีกาที่ 9481/2553 เมื่อนายชูวิทย์ถอนคำให้การเดิม ศาลชั้นต้นก็จะส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาใหม่ คดีนี้จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่านายชูวิทย์กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีคงเหลือแต่ประเด็นว่าสมควรลดโทษให้แก่นายชูวิทย์อีกหรือไม่เท่านั้น นายชูวิทย์มีโอกาสได้รับการลดโทษครับ เพราะที่ผ่านมาผมเคยทำคดีลักษณะแบบนี้ ศาลก็ลดโทษให้ครับ คดีของนายชูวิทย์ถือว่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่กระทำความผิด ถ้าสำนึกได้ ไม่ว่าในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ก่อนที่ศาลจะตัดสิน จำเลยยังมีสิทธิในการที่จะบรรเทาผลร้ายโดยการถอนคำให้การเดิมปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ และถ้าได้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือขอขมาหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ความเสียหายของผู้เสียหายลดน้อยลง เช่น คดีบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ หรือโกงเจ้าหนี้ หรือจ่ายเช็คเด้ง ถ้าชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายหรือโจทก์ ถึงแม้จะรับสารภาพช้าไปหน่อย แต่ในทางปฏิบัติศาลยุติธรรมมักจะให้
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพสามารถทำได้หรือไม่ ตามกฎหมายทำได้ครับ ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 7531/2546 และฎีกาที่ 9481/2553 เมื่อนายชูวิทย์ถอนคำให้การเดิม ศาลชั้นต้นก็จะส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาใหม่ คดีนี้จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่านายชูวิทย์กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีคงเหลือแต่ประเด็นว่าสมควรลดโทษให้แก่นายชูวิทย์อีกหรือไม่เท่านั้น นายชูวิทย์มีโอกาสได้รับการลดโทษครับ เพราะที่ผ่านมาผมเคยทำคดีลักษณะแบบนี้ ศาลก็ลดโทษให้ครับ คดีของนายชูวิทย์ถือว่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่กระทำความผิด ถ้าสำนึกได้ ไม่ว่าในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ก่อนที่ศาลจะตัดสิน จำเลยยังมีสิทธิในการที่จะบรรเทาผลร้ายโดยการถอนคำให้การเดิมปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ และถ้าได้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือขอขมาหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ความเสียหายของผู้เสียหายลดน้อยลง เช่น คดีบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ หรือโกงเจ้าหนี้ หรือจ่ายเช็คเด้ง ถ้าชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายหรือโจทก์ ถึงแม้จะรับสารภาพช้าไปหน่อย แต่ในทางปฏิบัติศาลยุติธรรมมักจะให้ความเมตตาถ้าจำเลยได้สำนึกในการกระทำความผิดของตนเอง ก็จะลดโทษให้ เช่น อาจจะรอลงอาญาหรือรอการกำหนดโทษ นอกจากนี้ศาลยุติธรรมทุกศาลจะมีหน่วยงานที่เรียกว่า แผนกไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หากคู่ความมีความประสงค์ที่จะตกลงกัน ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายกันในคดีอาญา ก็มีสิทธิที่จะไปยื่นคำร้องต่อศาล หลังจากนั้นศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งผู้ไกล่เกลี่ย และนัดหมายคู่กรณีมาเจรจาตกลงค่าเสียหายกัน หากตกลงกันได้ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาแผ่นดินหรือความผิดต่อส่วนตัว ศาลก็สามารถตัดสินลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญาได้ จึงเป็นช่องทางหนึ่งในการระงับข้อพิพาทตามขั้นตอนกระบวนการของศาล ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งเต้นล้มคดี ทนายคลายทุกข์จึงอยากฝากให้คู่ความที่กระทำความผิดทางอาญาเปลี่ยนใจสำนึกผิดเหมือนกับนายชูวิทย์ ซึ่งศาล
ก็มักจะให้ความปรานี
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9481/2553
จำเลยฎีกาว่ามิได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ประการหนึ่ง ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกอีกประการหนึ่ง การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา แม้จะถือว่าเป็นการขอแก้ไขคำให้การจากที่ให้การปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ ซึ่งจำเลยไม่อาจกระทำได้ เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 163 วรรคสอง และไม่อาจถือว่าการที่จำเลยยื่นคำร้องนี้เป็นการยื่นคำร้องขอถอนฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 202 ประกอบมาตรา 225 เพราะจำเลยยังติดใจฎีกาในประเด็นการลดโทษและ
รอการลงโทษจำคุก ทั้งไม่อาจถือว่าเป็นการยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาด้วยการสละประเด็นบางข้อเพราะพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 216 แล้ว แต่การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกาเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริง โดยไม่ได้โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนแล้ว จำเลยยังให้ข้อมูลแก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยว่า จำเลยรับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจาก อ. และจำเลยนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุม อ. ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนประมาณ 20,000 เม็ด นับเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 สมควรกำหนดโทษจำเลยให้น้อยลง
(ขอบคุณที่มาจากเว็บไซต์ศาลฎีกา http://deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/search.jsp)
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 163 เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้ว
ให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
เมื่อมีเหตุอันควร จำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของเขาก่อนศาลพิพากษา ถ้าศาลเห็นสมควรอนุญาต ก็ให้ส่งสำเนาแก่โจทก์
มาตรา 202 ผู้อุทธรณ์มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นก่อนส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ ในกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตได้ เมื่อส่งสำนวนไปแล้วให้ยื่นต่อศาลอุทธรณ์หรือต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อสั่ง ทั้งนี้ ต้องก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อถอนไปแล้ว ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมิได้อุทธรณ์ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอน ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์ จะเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดโดยไม่มีการแก้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น
มาตรา 216 ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 217-221 คู่ความมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ฎีกาฟัง
ฎีกานั้นให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 200 และ 201 มาบังคับโดยอนุโลม
มาตรา 225 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง
การที่จะขอลดโทษได้นั้นจำเลยต้องสำนึกก่อน ถ้าไม่สำนึกศาลก็จะไม่ลดโทษให้


