ป้ายสายรถเมล์ใหม่ แค่เตรียมก็เละแล้ว
เสียงก่นด่าของผู้โดยสารรถโดยสารประจำทาง บางสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จากตัวเลขบอกป้ายสายทางที่แสนสับสน
เพราะมีตัวเลขปิดต่อท้ายป้ายบอกสายทางเดิม เช่น สาย 96 จะมีวงเล็บ (677) หรือ สาย 102 (679) ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้สับสนว่า เลขในวงเล็บนั้นคืออะไร จะเริ่มใช้เมื่อใด ประกอบกับตัวเลขสายทางในวงเล็บนั้นไม่มีส่วนใกล้เคียงกับตัวเลขสายทางเดิม ซึ่งหาก ขสมก.ใช้ตัวเลขสายทางใหม่
การเดินทางใน กทม.ป่วนแน่!!
การวุ่นวายสับสนของประชาชน ทำให้ สุชาติ โชคชัยวัฒนากร รมช.คมนาคม ซึ่งกำกับดูแล ขสมก.ต้องออกมาตัดสินใจ สั่งให้ ขสมก.เอาป้ายเลขป้ายทางใหม่ออกโดยด่วน เพราะสร้างความสับสนให้ประชาชนผู้ใช้รถเมล์ และทำให้ผู้ใช้เกิดอาการงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใด ต้องมีวงเล็บตัวเลขใหม่ โดยไร้คำอธิบายจาก ขสมก. จนเกิดความเข้าใจผิดไปคนละทิศคนละทาง ทั้งนี้เพราะในเบื้องต้น ขสมก.ชี้แจงว่าตัวเลขสายทางใหม่นั้น เตรียมไว้ใช้กับ รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ที่คาดว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.เห็นชอบให้เริ่มประมูลได้ในสัปดาห์หน้า
โอภาส เพชรมุณี ผอ.ขสมก.ชี้แจงว่า การติดป้ายตัวเลขสายทางวงเล็บไว้ด้านหลังรถเมล์สายทางที่วิ่งในปัจจุบัน เพราะต้องการทดลองและเตรียมการรองรับโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เพื่อให้ผู้ใช้บริการรถเมล์ ขสมก.คุ้นชินกับหมายเลขใหม่ ที่จะต้องประกาศเป็นเส้นทางเดินรถตามโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เพียงแต่ยังไม่ได้เริ่มอย่างจริงจัง
“เราต้องการทดลองติดป้ายเพื่อให้ประชาชนคุ้นตาเท่านั้น เพราะต่อไป ขสมก.จะต้องปรับเส้นทางใหม่ ให้สอดคล้องกับจำนวนรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ซึ่งได้มีการศึกษาและทดสอบแล้วว่า ระยะทางเท่าไร เหมาะสมกับราคาค่าโดยสารต่อเที่ยวต่อวัน ซึ่งรถเมล์ แต่ละสายจะวิ่งตามเส้นทางที่คณะกรรมการขนส่งทางบกกลางกำหนด แต่ตอนนี้เพื่อลดความสับสนจึงต้องเอาป้ายวงเล็บออกทั้งหมด” นายโอภาส กล่าวดนด้านชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า ปัจจุบัน ขสมก.ให้บริการเส้นทางอยู่ทั้งสิ้น 128 เส้นทาง แต่เมื่อนำรถเมล์ 4,000 คันเข้ามาให้บริการก็จะต้องเพิ่มเส้นทางเป็น 155 เส้นทาง เนื่องจากต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินรถใหม่ ในการกำหนดเส้นทางรถโดยสารประจำทาง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 155 เส้นทางนั้น เดิมในการประชุมคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง ได้อนุมัติเส้นทางรถโดยสารทั้งหมด 145 เส้นทาง แต่เมื่อขสมก.ได้ทดลองวิ่งปรากฏว่า จะต้องขอกำหนดเส้นทางใหม่ให้ครอบคลุมรวม 155 เส้นทาง เพื่อให้เดินรถได้ตามจำนวนเที่ยวและการเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วม ที่จะเกิดในอนาคต
“ในการประชุมครั้งนั้น กรรมการได้มอบหมายให้ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ขสมก.และขบ.ไปศึกษาเพื่อให้ครอบคลุมการเดินรถทุกเส้นทาง” นายชัยรัตน์ กล่าวสำหรับหลักการและข้อสรุปสำหรับเส้นทางที่กำหนดขึ้นใหม่จะมีพื้นฐานจากการจัดเดินรถในปัจจุบัน โดยปรับปรุงเส้นทางบางส่วนเพื่อให้เชื่อมโยง ครอบคลุม รวมทั้งลดความซ้ำซ้อนของรถเมล์ลง โดยจะมี 5 ลักษณะ ได้แก่ เส้นทางที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งอื่น (Feeder) 34 เส้นทาง เส้นทางที่มีลักษณะเป็นวงกลม (Circuferential) 21 เส้นทาง
เส้นทางที่เป็นเส้นทางบนถนนสายหลัก (Redail) 54 เส้นทาง เส้นทางที่มีลักษณะจากชานเมืองเข้าสู่ตัวเมืองชั้นใน (Cross Town) 28 เส้นทาง และเส้นทางที่วิ่งบนทางพิเศษ (Expressway) 18 เส้นทาง รวมทั้งสิ้น 155 เส้นทาง ซึ่งทั้งหมดจะครบตามจำนวนเที่ยวที่ต้องการที่ระบุในร่างทีโออาร์ และจะสามารถนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการจัดการเดินรถในเส้นทางที่กำหนดใหม่ได้อย่างสอดคล้องกันด้วย
ปัจจุบัน ขสมก.มีรถเมล์ทั้งสิ้น 128 เส้นทาง ต้องเพิ่มเส้นทางอีก 27 เส้นทาง จึงจะครบ 155 เส้นทาง ทั้งนี้ เมื่อรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันเข้ามา ต้องบวกรวมกับรถร่วมขสมก.ที่เป็นรถร้อนด้วย หากเอกชนต้องการเข้าร่วมรถแอร์ก็ต้องยื่นแสดงความประสงค์ ซึ่งเรื่องนี้ขสมก.จะเปิดโอกาสให้อยู่แล้ว
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รถร่วมเอกชนที่ต้องการร่วมในโครงการสามารถเข้ามาทำโดยไปขอเช่ารถจากเอกชนที่ประมูลได้ และจ่ายค่าตอบแทนตามที่ระบุไว้ในร่างทีโออาร์ให้ขสมก. ซึ่งตรงนี้ถือว่ายุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย มีการบริหารเป็นหนึ่งเดียว ขสมก.จะได้ไม่ต้องรับภาระหนี้อีก ส่วนรถร้อนที่ขสมก.ให้สัมปทานไป ก็วิ่งตามปกติ ส่วนจะเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องนั้น ได้หารือเบื้องต้นไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสะดวก เนื่องจากรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันที่นำมาวิ่งใหม่นั้นจะแทนรถเก่าของขสมก.ทั้งหมด ไม่มีรถร้อนอีกในส่วนของขสมก. แต่ปริมาณความต้องการใช้จริงแต่ละวันมีมากถึง 78 พันคัน นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รถร่วมเอกชนสามารถประกอบอาชีพนี้ต่อไปได้
สำหรับเส้นทางใหม่ที่คณะกรรมการขนส่งทางบกกลางอนุมัตินั้น จะกำหนดเริ่มต้นที่หมายเลข 601755 โดยเรียงตามหมายเลขรถเมล์ปัจจุบันจากน้อยไปหามาก เช่น สาย 1
–สาย 558 โดยไม่นับสายเรียงตามลำดับ เนื่องจากบางสายเป็นเส้นทางที่ให้สัมปทานรถร่วมก็จะไม่รวมอยู่ใน 155 เส้นทางดังกล่าว เพราะจะมีรถร้อนให้บริการตามราคาที่คณะกรรมการขนส่งทางบกกลางกำหนด ถือเป็นทางเลือกของประชาชนที่ไม่ชอบรถแอร์ หรือเห็นว่า ราคา 12 บาทต่อเที่ยวแพงไป ต้องการนั่งรถระยะสั้นและถูกก็เป็นไปได้ยกตัวอย่าง เส้นทางปัจจุบัน สาย 1 ถนนตกท่าเตียน ช่วงถนนตกสถานีหัวลำโพง ระยะทาง 21 กม. ต่อไปเป็นเส้นทางใหม่คือ สาย 601 ถนนตกท่าเตียน ระยะทาง 10.8 กม. เส้นทางสาย 4 ท่าน้ำภาษีเจริญท่าเรือคลองเตย ระยะทาง 15 กม. เป็นเส้นทางใหม่คือ สาย 602 วงกลมท่าน้ำภาษีเจริญสาทรพระราม 4 ระยะทาง 21.1 กม. ฯลฯ
ทั้งนี้ ระยะทางบางสาย ทางอาจสั้นลงหรือยาวขึ้น ถือว่าเป็นความเหมาะสมในการเดินทางและเพิ่มความคล่องตัวให้ประชาชนที่ต้องการต่อเชื่อมรถ เนื่องจากโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันนั้น เป็นโครงการที่ต้องการปรับโครงสร้าง ขสมก.เพื่อลดการขาดทุนและไม่เป็นภาระแก่ประชาชนอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตัวเลขป้ายสายทางนั้น ขบ.เป็นผู้กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งในอนาคตจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงตัวเลขสายทางใหม่ได้รับรู้อย่างเป็นทางการ
ซึ่งสุดท้าย กรรม ก็จะต้องตกอยู่กับผู้ใช้บริการที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ตัวเลขสายทางใหม่นั้น มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวเลขเดิม หากนานๆ ทีมาขึ้นรถเมล์ครั้ง สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ต้องอ่านเส้นทางข้างตัวรถเอาเอง และนี่คือการทำงานแบบชุ่ยๆ ของ คมนาคม ที่ในที่สุดประชาชนคือผู้เดือดร้อนดังนั้น ประชาชนบางส่วนอาจมีการต่อต้าน แต่หากคิดถึงภาพรวมทั้งประเทศ งบประมาณที่ได้มาจ่ายชดเชยให้ขสมก.แต่ละปีนั้นมหาศาล ดังนั้น การปรับเส้นทางหรือการคิดอัตราค่าโดยสาร ค่าตอบแทนแก่เอกชนและขสมก. ก็คือ สัดส่วนที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ในระยะยาวแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ความเคลือบแคลงสงสัยของผู้ใช้บริการที่เกิดขึ้นนั้น คงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ฉะนั้น การช่วยกันตรวจสอบและคิดถึงภาระของขสมก. การอยู่ได้ของรถร่วมขสมก. และความสะดวกสบายของประชาชนผู้ใช้ จะถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญที่สุดในการเกิดขึ้น หรือไม่เกิดของโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ว่าเมื่อเปรียบเทียบข้อดีกับข้อเสียแล้ว ข้อใดมีมากกว่ากัน


