ผู้บริหารกับ ความรับผิดชอบ
เมื่อสังคมมีปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรมของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้พูดง่ายๆ ว่า ถ้าสังคมไปไม่รอด ธุรกิจของเราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
เมื่อสังคมมีปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรมของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้พูดง่ายๆ ว่า ถ้าสังคมไปไม่รอด ธุรกิจของเราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
ต่อจากนี้ไปผู้บริหารขององค์กรใดๆ จึงปฏิเสธเรื่องของ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ไม่ได้อีกแล้ว เพราะการมีความรับผิดชอบต่อสังคมเท่ากับการดูแลธุรกิจอุตสาหกรรมของเราให้ประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
การเข้าใจในความหมายของคำว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร” (CSR : Corporate Social Responsibility) จึงไม่ควรจำกัดในวงแคบเกินไป โดยเข้าใจเพียงว่าเป็นการให้ทุน ให้ทาน หรือบริจาคให้แก่บุคคล หน่วยงาน หรือสังคมเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความรับผิดชอบต่อสังคมยังมีความหมายรวมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมและเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในรูปแบบต่างๆ รวมตลอดถึงการมีส่วนร่วมในการดำเนินการต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพของสังคมที่องค์กรทำร่วมกันกับชุมชนทั้งที่อยู่ข้างเคียงและอยู่ทั่วไปในวงกว้าง
การพัฒนากิจกรรมที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น มักจะเกิดขึ้นจากผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรที่ไม่ได้คิดว่ากิจกรรมที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นการทำให้องค์กรเกิดต้นทุนที่ไม่จำเป็นขึ้น แต่เป็นการที่ผู้บริหารเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมอย่างปกติสุขในลักษณะของการพึ่งพาอาศัยกันเป็นเบื้องต้น และเห็นถึงประโยชน์ของ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อองค์กร
ความสำเร็จในเรื่องนี้ จึงเริ่มจากการที่ผู้บริหารมีทัศนคติในเชิงบวกและสร้างสรรค์ โดยแสดงให้เห็นด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์และปรัชญาของการบริหารจัดการองค์กรด้วย “ความรับผิดชอบต่อสังคม” อย่างเปิดเผยและชัดเจน พร้อมกับระบุในพันธกิจขององค์กรด้วยการผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์และสิ่งที่องค์กรต้องปฏิบัติตั้งแต่เริ่มแรกเลย
เรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมนี้ จึงต้องกำหนด “ผู้รับผิดชอบ” ที่ชัดเจน แต่หลายองค์กรก็ตั้งเป็น “คณะกรรมการ” เพื่อรับผิดชอบ โดยดึงคนจากหน่วยงานต่างๆ เข้ามากำกับดูแลในแต่ละส่วนของการดำเนินกิจกรรมตามความเหมาะสม
การทำกิจกรรมด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” อาจพิจารณาดำเนินการได้ใน 2 ลักษณะ ลักษณะแรก คือ การทำตามมาตรฐานสากล หรือการทำตามข้อกำหนดของประเทศคู่ค้า ลักษณะนี้มักจะเป็นการดำเนินการขององค์กรใหญ่ๆ แต่ก็มักจะปรากฏว่าหลายองค์กรให้ความสำคัญกับการใช้จ่าย เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลงานในด้านการบริจาคมากกว่าการใช้จ่าย เพื่อลงมือทำกันอย่างจริงจังในการพัฒนาชุมชนและสังคมให้เข้มแข็ง เพราะเน้นแต่การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร
ส่วนลักษณะที่สองคือ การทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมุ่งมั่น ซึ่งเป็นการทำด้วยความเชื่อมั่นว่าการประกอบกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งที่ดีที่ควรต้องทำ เพื่อประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง โดยให้พนักงานได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้วย องค์กรในลักษณะนี้ มักจะประกอบกิจการแบบโปร่งใสและเปิดเผยเป็นธรรม มิใช่เน้นการสร้างภาพด้วยการทุ่มโฆษณาประชาสัมพันธ์เท่านั้น
ทุกวันนี้มีองค์กรมากมายที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในเรื่องนี้ เป็นเพราะว่าผู้บริหารมักจะ “ทำ” ให้เรื่องของ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร และหยั่งรากฝังลึกเข้าไปอยู่ในจิตสำนึกของพนักงานและทุกผู้คนในองค์กร ครับผม!


