ค้าปลีกยุคดิจิทัลอีโคโนมี คลาวด์อีกโซลูชั่นมาแรง
หลังจากภาครัฐออกมาประกาศแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ให้อยู่บนฐานเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดิจิทัลอีโคโนมี ส่งผลให้หลายภาคส่วนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจด้านไอทีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกลับมาคึกคัก
หลังจากภาครัฐออกมาประกาศแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ให้อยู่บนฐานเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดิจิทัลอีโคโนมี ส่งผลให้หลายภาคส่วนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจด้านไอทีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกลับมาคึกคัก
ไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว ประธานอนุกรรมการมาตรฐาน พัฒนา และวิจัยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ความหมายของดิจิทัลอีโคโนมี หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการ พัฒนาประเทศ และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ปัจจุบันมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในเรื่องดังกล่าวน้อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในด้านของความบันเทิงเป็นหลัก
ทั้งนี้ ตามแผนการพัฒนาของดิจิทัลอีโคโนมีจะมี 5 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1.ฮาร์ดอินฟราสตรักเจอร์ 2.ซอฟต์อินฟราสตรักเจอร์ 3.เซอร์วิสอินฟราสตรักเจอร์4.โซไซตี้ แอนด์ โนวเลจ และ 5.โปรโมชั่น แอนด์ อินโนเวชั่นสิ่งดังกล่าวจะเป็นเครื่องปูทางต่อการพัฒนาธุรกิจของไทย
จากแนวทางดังกล่าวจะเห็นได้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีด้านดิจิทัลของไทยมีการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เห็นได้จากจำนวนหมายเลขโทรศัพท์ที่ปัจจุบันมีการเปิดใช้งานมากกว่า 94 ล้านหมายเลข ขณะที่สื่อโซเชียลที่ได้รับความนิยมอย่างเฟซบุ๊ก ก็มีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าใช้งานมากกว่า 38 ล้านแอกเคาต์ ยอดไอดีไลน์ก็มีมากกว่า 33 ล้านไอดี ส่วนยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็มีมากกว่า 26 ล้านยูสเซอร์
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการทำธุรกิจออนไลน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้โดยตรง ส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้สนใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านอินสตาแกรม หรือไลน์
ไตรรัตน์ กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการทำธุรกิจบนไลน์ผ่านสติ๊กเกอร์ไลน์ต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทเท่านั้น แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 4 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากการใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันเครื่องมือในการสื่อสาร สามารถทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ ความสนใจในการซื้อสินค้าหน้าร้านอาจปรับตัวลดลง
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วดังกล่าว ส่งผลให้ ไตรรัตน์ คาดการณ์ว่า ในอีก 2 ปีนับจากนี้จะเกิด 10 สิ่งขึ้นกับธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจออนไลน์ช็อปปิ้งจะมีมากกว่า 50% ในตลาด2.สังคมเพย์เมนต์ออนไลน์จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น 3.จะไม่มีความต้องการที่เป็นอะนาล็อกอีกต่อไป 4.ดาต้าซีเคียวริตี้จะมีความสำคัญมากขึ้นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 5.อุปกรณ์สื่อสารจะไม่เสียเงินอีกต่อไป 6.การบริการจะฝังตัวอยู่ในธุรกิจ 7.การแข่งขันของธุรกิจจะอยู่บนคลาวด์ทั้งหมด 8.ข้อมูลของลูกค้าจะมีมูลค่าสูงขึ้น 9.มาตรฐานการค้าระหว่างประเทศจะถูกนำมาใช้ และ 10.การสร้างแบรนด์สินค้าดิจิทัลจะมีความสำคัญมากขึ้น
อย่างไรก็ดี จากมาตรฐานของซอฟต์แวร์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจค้าปลีก ส่งผลให้การทำธุรกิจออนไลน์ในขณะนี้ ยังคงต้องยึดหลักความเชื่อใจระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้าเป็นหลัก
ขณะที่ กนกชนา เพ็ชรรัตน์ รองประธานฝ่ายพัฒนาช่องทางธุรกิจ บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ หรือไอเอสเอสพี กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่จะอยู่ในธุรกิจค้าปลีกให้ได้ในอนาคต คงจะต้องมีการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคลาวด์สามารถช่วยในเรื่องดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการช่วยในการขยายธุรกิจ การเก็บข้อมูล หรือความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งหลังจากบริษัทได้เปิดตัวธุรกิจในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่เป็นอย่างดี เนื่องจากลูกค้ามีความ
เชื่อมั่นกับการใช้งานคลาวด์เพิ่มมากขึ้น
ชินวัฒน์ อุณหวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายงานเทคนิค บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ กล่าวว่า การทำงานของคลาวด์มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ด้วยข้อดีของคลาวด์ที่สามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้ อีกทั้งยังสามารถรองรับการพัฒนาระดับใหม่ๆ ราคาประหยัด มีมาตรฐานสูง และลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน จึงทำให้คลาวด์ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการในหลายธุรกิจและองค์กรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
สำหรับบริการคลาวด์ของไอเอสเอสพี ที่กำลังได้รับความสนใจจากลูกค้าในตอนนี้ คือ b-cloud by ISSP จะเป็นบริการเทคโนโลยีการจัดการบริหารในรูปแบบ Cloud Computing สำหรับองค์กรธุรกิจ โดยการใช้งานบนระบบคลาวด์ ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานด้านการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล ลดความเสี่ยง มีความยืดหยุ่นในการใช้งานตามความต้องการของแต่ละองค์กร
นอกจากนี้ ยังสามารถรองรับการปรับตัวอย่างรวดเร็ว และช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรธุรกิจให้สามารถบริหารจัดการงานไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในส่วนของบริการ b-cloud จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ b-cloud Infrastracture as a Service หรือ IaaS นอกจากนี้ยังมี b-cloud Platform as a Service หรือ PaaS และ b-cloud Software as a Service
อีกหนึ่งโซลูชั่นที่ไอเอสเอสพีพร้อมนำเสนอให้กับลูกค้าที่ทำธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต คือ SAP BUSINESS ONE CLOUD หรือ SAP B1 on cloud
ความสะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ ที่ได้รับจากเทคโนโลยี หากนำมาใช้ได้ตรงกับความต้องการและขนาดของธุรกิจ เชื่อว่ามีประสิทธิภาพกับธุรกิจทั้งสิ้น แต่ก่อนนำมาใช้งานก็ควรมีการศึกษาข้อมูลให้รอบด้านเพื่อประโยชน์สูงสุด


