‘สไมล์ลิ่ง กรุ๊ป’ เดินหน้าสยายอาณาจักรทัวร์
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
แม้หลายคนอาจจะมองว่ายุคนี้คือขาลงของธุรกิจบริษัทนำเที่ยว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมีบริษัทนำเที่ยวหน้าใหม่ๆ ตบเท้าเข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่องและก็มีบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งที่เป็นดาวรุ่งโตแรงในยุคนี้ หนึ่งในนั้น คือ สไมล์ลิ่ง กรุ๊ป
กฤชณัฐ มีสำราญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สไมล์ลิ่ง กรุ๊ป เปิดเผยว่า ภายใต้สไมล์ลิ่ง กรุ๊ป มี 5 บริษัท คือ 1.ซัน สไมล์ ฮอลิเดย์ แอนด์ ทราเวล ทำตลาดค้าส่งทัวร์ (โฮลเซล) ทำโปรแกรมทัวร์ป้อนให้บริษัทนำเที่ยวรายย่อยนำไปขาย 2.ออน เดอะ เวิลด์ ทราเวล บริษัทนำเที่ยวทำตลาดกรุงเทพฯ 3.สไมล์ เวิลด์ 360 ฮอลิเดย์ ทำตลาดกรุงเทพฯ 4.ไอ เลิฟ ฮอลิเดย์ ทำตลาดกรุงเทพฯ และ 5.แฮปปี้ เวิลด์ ฮอลิเดย์ เป็นตัวแทนของสไมล์ลิ่ง กรุ๊ป ที่ดูแลตลาดเชียงใหม่ครอบคลุมภาคเหนือ ซึ่งการที่บริษัทมีเครือข่ายบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งก็เพื่อจะกระจายช่องทางการทำตลาดให้มากขึ้น
ทั้งนี้ สไมล์ลิ่ง กรุ๊ป เปิดมาแล้ว 14 ปี ในอดีตเคยไปเปิดบริษัทนำเที่ยวที่ จ.อุดรธานี และหาดใหญ่ แต่เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีความแตกต่างหลากหลาย จึงเปลี่ยนแผนเป็นการกระจายโปรแกรมทัวร์ให้บริษัทนำเที่ยวในท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วนำไปขายแทน ขณะที่เชียงใหม่เลือกไปเปิดบริษัทนำเที่ยว เพราะมีกำลังซื้อสูงรองลงมาจากกรุงเทพฯ
สำหรับแผนธุรกิจสไมล์ลิ่ง กรุ๊ป นั้น จะพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวแทนจำหน่ายท่องเที่ยวตามภูมิภาค จากที่นิยมขายแต่โปรแกรมทัวร์เดิมๆ ในเอเชียให้กับลูกค้า บริษัทก็พยายามสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ทำโปรแกรมทัวร์ที่แตกต่างไปจากเดิมให้ตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคนำไปเป็นทางเลือกใหม่เสนอขายลูกค้า เช่น โปรแกรมทัวร์บุฟเฟ่ต์ยุโรป 6 วัน 3 คืน 39,888 บาท ซึ่งเป็นโปรแกรมเดินทางไปประเทศเดียวในยุโรปด้วยสายการบินกาตาร์ คือ ฝรั่งเศส ออสเตรีย อิตาลี เดนมาร์ก หรือสเปน ในราคาเดียวกันหมด
หลังนำเสนอโปรแกรมบุฟเฟ่ต์ยุโรปไป ก็ได้รับกระแสตอบรับจากตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคดี เนื่องจากราคาที่นำเสนอใกล้เคียงกับโปรแกรมทัวร์เอเชีย ต่างจากในอดีตที่ราคาทัวร์ยุโรปมักจะสูงถึง 7-9 หมื่นบาท ทำให้บริษัทนำเที่ยวต่างๆ ไม่กล้าขาย
“สาเหตุที่ทำราคาทัวร์ยุโรปถูกได้ มาจากปัจจัยสำคัญคือสายการบินและแลนด์โอเปอเรเตอร์ในยุโรปร่วมสนับสนุนการทำโปรโมชั่น ถือเป็นประวัติศาสตร์ของวงการบริษัทนำเที่ยว เพราะยังไม่มีใครเคยทำได้ราคานี้” กฤชณัฐ กล่าว
กฤชณัฐ กล่าวว่า อนาคตสไมล์ลิ่ง กรุ๊ป จะขยายธุรกิจเพิ่มอีกจากปัจจุบันทำเฉพาะตลาดคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (เอาต์บาวด์) ก็จะเริ่มไปทำตลาดคนต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย (อินบาวด์) โดยอาศัยจุดแข็งที่สไมล์ลิ่ง กรุ๊ป ทำตลาดขายส่ง เวลาจะทำทัวร์ส่งไปยังต่างประเทศ ก็จะมีเครือข่ายบริษัทนำเที่ยวในประเทศนั้นๆ รู้จักอยู่แล้ว ก็สามารถต่อยอดช่วยดูแลทัวร์ในไทยให้กับเครือข่ายบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศที่ร่วมมือด้วยได้ คาดว่าจะเริ่มทำอินบาวด์กับตลาดเอเชียก่อน
ขณะเดียวกันก็วางแผนจะรับเป็นตัวกลางในการติดต่อประสานงานภาคพื้น (แลนด์โอเปอเรเตอร์) ช่วยประสานงานโรงแรม ร้านอาหาร ให้กับบริษัทนำเที่ยวไทยรายย่อยที่ต้องการนำโปรแกรมทัวร์เอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับญี่ปุ่นและยุโรปบางประเทศอยู่ เพื่อรับเป็นแลนด์โอเปอเรเตอร์ประสานงานบริษัทนำเที่ยวไทยให้
ด้านภาพรวมธุรกิจนำเที่ยวเอาต์บาวด์ปีนี้ มองว่า ทั้งปีอาจไม่เติบโตจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบกันไปมากจากกรณีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ขึ้นธงแดงกับการบินของไทย เรื่องข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญด้านความปลอดภัย จนทำให้ไม่สามารถเพิ่มเส้นทางบินได้หลายเส้นทาง รวมทั้งไม่สามารถทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) ได้ โดยเฉพาะเส้นทางญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบเป็นเส้นทางแรกๆ และกระทบในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่คนไทยเดินทางมากพอดี
ขณะที่ไตรมาส 3 เป็นช่วงไม่ใช่ฤดูกาลเดินทาง (โลว์ซีซั่น) อยู่แล้ว ส่วนไตรมาส 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลเดินทาง (ไฮซีซั่น) ก็คาดว่าจะมียอดเดินทางเติบโต เฉพาะเส้นทางยุโรป ประเมินไว้ว่าโต 200% โดยไตรมาส 3 เริ่มมียอดจองเดินทางไปยุโรปไตรมาส 4 เข้ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 1,500 ที่นั่ง
“ประเด็นเรื่องมาตรฐานการบินกระทบหนักในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ขณะนี้ผู้ประกอบการก็เริ่มปรับตัวได้แล้วโดยการเลือกใช้สายการบินที่จดทะเบียนในประเทศอื่นๆ เช่น ไปเกาหลี ก็ใช้เครื่องบินสายการบินที่จดทะเบียนในเกาหลี ไปญี่ปุ่น ก็ใช้สายการบินของญี่ปุ่น หรือไปยุโรปก็ใช้สายการบินจากตะวันออกกลาง มองว่าปีหน้าวิกฤตมาตรฐานการบินก็น่าจะเบาบางลง ถึงเวลานั้นก็อาจกลับมาทำชาร์เตอร์ไฟลต์ได้อีก” กฤชณัฐ กล่าว
กฤชณัฐ ระบุว่า การเติบโตของสไมล์ลิ่ง กรุ๊ป ถือว่ารวดเร็วมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ในตลาด ปัจจุบันมียอดถือครองตั๋วเครื่องบินมากกว่าบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่บางเจ้า เช่น เกาหลี มียอดตั๋วเครื่องบิน 3,000 ที่นั่ง/เดือน ญี่ปุ่น 500 ที่นั่ง/เดือน ประเทศในอาเซียน 1,000 ที่นั่ง/เดือน
นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางยุโรปอีก 800-1,000 ที่นั่ง/เดือน เมื่อรวมทั้งหมดแล้วหากเป็นช่วงที่มียอดการเดินทางสูง จะมียอดตั๋วเครื่องบินที่ดูแล 5,000-7,000 ที่นั่ง/เดือน ส่วนในช่วงที่การเดินทางน้อย มียอดตั๋วเครื่องบินที่ดูแล 3,000-4,000 ที่นั่ง/เดือน
เหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทเติบโตได้เร็วมาจากการมีแนวคิดใหม่ๆ ในการทำทัวร์ จะไม่มองในรูปแบบเดิมๆ เหมือนกับที่บริษัทนำเที่ยวเดิมๆ ทำกัน โดยบริษัทจะมองกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้าติดใจ มีการทำระบบสมาชิก ทำฐานข้อมูลลูกค้า ทำระบบการจองที่สะดวกมากขึ้น สามารถจองเองผ่านเว็บไซต์ของบริษัทได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีแผนทำแอพพลิเคชั่นขึ้นมา เนื่องจากมองว่าเป็นช่องทางที่ไม่ได้น่าจะได้ผลสำเร็จที่ดี เพราะพฤติกรรมของคนทั่วไปจะเปิดใช้แอพพลิเคชั่นไม่เกิน 10 แอพต่อวัน การมีระบบการจองออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะตัวเว็บไซต์ก็มีรูปแบบที่เปิดได้สะดวกทั้งที่ผ่านคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตอยู่แล้ว
ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทนำเที่ยวที่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา จนกลายมาเป็นมือต้นๆ ของธุรกิจที่ใครๆ ก็ต้องจับตามอง


