ธปท.นัดถกแบงก์หั่นส่วนต่างค่าต๋ง
โพสต์ทูเดย์
— ธปท.ยืนกรานส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ 2.78% ไม่สูง เทียบเพื่อนบ้านเกิน 3%นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชิญผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์มาหารือในวันที่ 13 ก.ค. เพื่อติดตามความคืบหน้าการปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนเพื่อลดค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงิน และส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก รวมทั้งประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการปล่อยสินเชื่อ
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากสุทธิ จะคิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารพาณิชย์ หรือ NIM (Net Interest Margin) สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 2.78% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
นายเกริก กล่าวว่า ผู้ว่าการ ธปท. คนปัจจุบันและนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ว่าที่ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ เห็นตรงกันว่าส่วนต่างดังกล่าวเป็นส่วนต่างที่ไม่สูงจนเกินไป เพราะประเทศไทยได้ทยอยลดส่วนต่างดังกล่าวลงมาเรื่อยๆ แล้วในหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้สุทธิของประเทศในอาเซียนในเวลาเดียวกันที่เฉลี่ย 2.9% ถือว่าของไทยยังต่ำกว่า และหากเทียบกับเกาหลีใต้หรือไต้หวันที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวชัดเจน ส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่กว่า 3%
“
ถามว่าหากต้องการปรับลดลงอีกได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่จะต้องใช้เวลานานเพื่อเพิ่มการปล่อยสินเชื่อให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี และอย่างที่บอกว่าส่วนต่างของเราไม่สูงมาก ถ้าจะลดลงได้อีกคงเป็นทศนิยมคงลดลงจากนี้ได้ไม่ถึง 1%” นายเกริก กล่าวอย่างไรก็ตาม จากการสำรวจต้นทุนของภาคธุรกิจขนาดใหญ่ พบว่า ต้นทุนที่มาจากดอกเบี้ยในปัจจุบันเทียบกับต้นทุนทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 24% ขณะที่เอสเอ็มอีอยู่ที่ประมาณ 4% ซึ่งถือว่าไม่น่ากังวล ในส่วนของประชาชน ดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ หรือดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ที่เคยต้องจ่ายในอัตราสูงกว่า 10% ขณะนี้อยู่ที่ 56% ข้าราชการอาจจะต่ำกว่านี้
“
แสดงว่าปัญหาไม่ใช่ดอกเบี้ยเงินกู้ที่แพงมากจนกู้ไม่ได้ แต่ปัญหาที่พบในขณะนี้ คือ คนที่อยากกู้เงินธนาคารไม่ให้กู้ เพราะไม่มั่นใจในความสามารถ” นายเกริก กล่าวในการกู้ และการจ่ายคืน ซึ่งส่วนนี้โครงการของบรรษัทค้ำประกันสินเชื่อรายย่อย (บสย.) อาจจะช่วยได้ระดับหนึ่ง อีกปัญหาที่เห็นชัดเจนในขณะนี้ คือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเกินไป ซึ่งส่วนนี้ รัฐบาลอาจะต้องหาทางช่วย เช่นเดียวกันรัฐบาลมาเลเซียที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ออกพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจมาขายประชาชน ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือก และเพิ่มการแข่งขันกับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ในไทยเราเห็นการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของภาครัฐบ้าง แต่ดอกเบี้ยอาจจะยังไม่จูงใจประชาชนเพียงพอ
” รองผู้ว่าการธปท. กล่าวบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2553 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 1,475.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 519.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 54.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 956.12 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 ตามการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยและการปรับตัวสูงขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อจากร้อยละ 4.5 เป็นร้อยละ 5.3
นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 559.29 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.9 มาอยู่ที่ 1,804.73 ล้านบาท
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. เชิญผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์มาหารือ เพื่อสรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม รวมทั้งประเมินความเสียหายและผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ที่มีต่อระบบธนาคารพาณิชย์ และประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น แม้ขณะนี้เอ็นพีแอลในระบบอยู่ในระดับที่ทรงตัวก็ตาม โดยมองว่าส่วนใหญ่จะใช้ 2 แนวทางที่ทำให้เอ็นพีแอลลดลง คือ 1.การทำให้เอ็นพีแอลในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลง ซึ่งแนวทางนี้ยอมรับว่าทำได้ยาก เนื่องจากเอ็นพีแอลส่วนใหญ่เป็นเอ็นพีแอลเก่า ที่ยังคั่งค้างอยู่ในระบบนานมาก และส่วนใหญ่ก็อยู่ในกระบวนการฟ้องร้องของศาล ขณะเดียวกันหากต้องขายเอ็นพีแอลเก่า ด้วยการพึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน เนื่องจากตลาดอสังหาฯในขณะนี้ค่อนข้างนิ่ง แต่ในช่วงปีก่อนที่ตลาดอสังหาฯ ขยายตัวได้ดี เพราะมีมาตรการของภาครัฐ ที่ช่วยกระตุ้นให้มีการการโอนมากขึ้น
และวิธีที่ 2. คือ กระตุ้นให้สินเชื่อในระบบขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งวิธีนี้ต้องพึ่งพาการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่หากดูอัตราการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในขณะนี้ สินเชื่อก็ยังเป็นบวกอยู่
นอกจากนี้ธปท.ได้พิจารณาไม่ต่ออายุศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการปล่อยสินเชื่อ(ศปส.) ที่กำหนดจะหมดอายุลงสิ้นปี 2553 นี้ หลังจากที่เคยวางแผนว่า อาจจะมีการพิจารณาต่ออายุศูนย์แบบถาวร ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า ปัญหาที่ประชาชนได้ร้องเรียนเข้ายังศูนย์ฯยังคงเป็นปัญหาเดิมๆ เช่น โทรศัพท์หลอกลวง การร้องเรียนพฤติกรรมการติดตามทวงหนี้ และบริการของทางธนาคารพาณิชย์ ปัญหาด้านสินเชื่อ และปัญหาด้านการปรับโครงสร้างเป็นต้น ทั้งนี้ศูนย์ฯดังกล่าวได้เริ่มเปิดทำการ เมื่อ 18 พฤษภาคม 2552


