posttoday

แยมการ์เด้น ชิงตลาดอาหารโฮมเมด

24 สิงหาคม 2558

โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน

โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน

จากมูลค่าตลาดรวมของผลิตภัณฑ์แยมที่มีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท มีการเติบโต 20% และมีทิศทางการขยายตัวอย่างร้อนแรง ทำให้เอสเอ็มอีไทยรุ่นใหม่ส่งแบรนด์ “แยมการ์เด้น” สร้างสรรค์จากผลไม้ไทยคือ “ขนุน” เข้ามารุกตลาดผลิตภัณฑ์แยม พร้อมมุ่งเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อ

“สุเมธ กาญจนพันธุ์” ผู้บริหาร บริษัท รุ่งเรืองทรัพย์บริบูรณ์ ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์แยมผลไม้ เพื่อสุขภาพในชื่อแบรนด์ แยมการ์เด้น (Jam’s Garden) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวสินค้าแยมผลไม้เพื่อสุขภาพ แยมการ์เด้น เพราะเห็นโอกาสจากตลาดแยมผลไม้ เพื่อสุขภาพมีการแข่งขันในระดับน้อยมีคู่แข่งในตลาดประมาณ 2-3 แบรนด์ อีกทั้งแยมผลไม้จากขนุนยังไม่มีรายใดทำมาก่อน

สำหรับแยมผลไม้จากขนุนมีจุดเด่นที่เป็นแยมที่เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง มีความปลอดภัย และใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นธรรมชาติมากสุด โดยไม่มีการใส่สารปรุงแต่งใดๆ
ทั้งสิ้น ใช้น้ำตาลแบบโลว์ชูการ์
และเลือกผลไม้ขนุนจากสวนในประเทศไทยมาผลิตในสไตล์โฮมเมด ซึ่งรสชาติต่อมาที่ได้ทำตลาดแล้วคือ สตรอเบอร์รี่ผสมช็อกโกแลต

รวมทั้งวางเอกลักษณ์การดีไซน์สินค้าที่มีรูปแบบและแพ็กเกจจิ้งแปลกใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดและเริ่มทำตลาดผ่านออนไลน์ พร้อมร่วมออกงานแสดงสินค้า เพื่อทำให้ลูกค้ารู้จัก ซึ่งพบว่าลูกค้าต่างชาติชื่นชอบสินค้าอย่างมาก ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและฮ่องกง ซึ่งช่วงปลายปีนี้จะเปิดตัวรสชาติใหม่ทั้ง ส้มสายน้ำผึ้งผสมผิวเลมอน กล้วยอบเนย และลิ้นจี่

“ที่ผ่านมา ผมทำงานได้เดินทางไปทั่วโลก พบว่า ไม่มีที่ไหนในโลกดีเท่ากับประเทศไทย และพบว่าชาวต่างชาติชื่นชอบผลไม้ไทยสูงมาก ทำให้สนใจอยากสร้างสินค้าจากผลไม้ไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความภูมิใจต่อผลไม้ไทย และผลไม้ไทยสามารถต่อยอดเป็นสินค้าได้อย่างหลากหลาย” สุเมธ กล่าว

ระยะต่อไปจะทำตลาดผ่านโรงแรม บูติกโฮเต็ล บริษัททัวร์ สปา กลุ่มลูกค้าผู้บริหารต่างชาติ และจัดทำสินค้าต้อนรับในโรงแรม และบริษัททัวร์รวมทั้งขยายช่องทางจำหน่ายในร้านค้าเพื่อสุขภาพ รองรับตลาดอาหาร เพื่อสุขภาพที่เป็นตลาดมีขนาดใหญ่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท และมีอัตราการเติบโตในระดับสูง

สุเมธ กล่าวต่อว่า แม้ในปี 2558 สถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่ดี แต่พบว่าหลังจากเปิดตัวทำตลาดในปีนี้ลูกค้าให้ความสนใจระดับสูง มียอดออร์เดอร์สั่งซื้อสินค้าเข้ามากขึ้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าระดับบนจะไม่ชะลอกำลังซื้อตามเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันบริษัทมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนทั้งวางแผนตลาด การเลือกกลุ่มลูกค้า และวางตำแหน่งสินค้า พร้อมกับสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า รวมถึงทยอยลงทุนเพื่อทำธุรกิจ

ส่วนในปีหน้า สนใจขยายธุรกิจไปยังกลุ่มสินค้าใหม่คือ ปุ๋ยอินทรีย์ โดยอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสินค้าทั้งหมดมาจากการคิดค้นของบริษัทเอง พร้อมกับเพิ่มรสชาติใหม่ของแยมจากผลไม้ รวมถึงสนใจนำผลไม้ไทย ทั้งแตงโม มะม่วง ทุเรียน มาต่อยอดเป็นรสชาติใหม่ของแยมต่อไป

“ธุรกิจแรกที่เราลงทุนจะเริ่มจากเงินลงทุนส่วนตัว และลงทุนในระดับไม่มาก ก่อนค่อยขยาย โดยไม่ได้มีการกู้เงิน รวมทั้งต้องมีการสำรวจตลาดก่อนทำสินค้า จนพบว่าแยมผลไม้มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่เป็นแยมโอท็อป สินค้ามีโอกาสสร้างความแตกต่างได้ รวมทั้งสินค้าไทยลูกค้าต่างชาติให้การยอมรับในระดับสูง” สุเมธ กล่าว

เป้าหมายธุรกิจในระยะยาวต้องการสร้างแบรนด์ แยมการ์เด้น ให้ลูกค้าในประเทศและต่างประเทศรู้จักมากขึ้น มีแผนส่งออกไปต่างประเทศ พร้อมกับจะสร้างแบรนด์ให้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าบนสายการบิน

สุเมธ กล่าวถึงตลาดรวมแยมในประเทศไทยที่มีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแยมระดับกลางประมาณ 6,000 ล้านบาท แต่เป็นแยมระดับบน (พรีเมียม) มีมูลค่าน้อยอยู่ และที่เหลือเป็นแยมระดับล่าง ซึ่งแยมที่เป็นโฮมเมดจำนวนน้อยเช่นกัน

จากทั้งหมด ทำให้บริษัทมั่นใจว่า การสร้างแบรนด์สินค้าที่เน้นคุณภาพสินค้ามีความแตกต่าง มุ่งดีไซน์ จะแข่งขันได้ระยะยาว รวมถึงแบรนด์ แยมการ์เด้น จะสามารถครองใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี &O5532;

แนวคิดธุรกิจ

-ผลิตสินค้าแยมจากธรรมชาติ

-สร้างสินค้าที่มีดีไซน์แตกต่าง

-เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2