เปิดสูตร 'คอลลาเฮลท์' มัดใจคนอาเซียนรักสุขภาพ
โดย...ปรียนิจ กุลตั้งเจริญ
โดย...ปรียนิจ กุลตั้งเจริญ
เทรนด์รักสุขภาพที่มาแรงทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งชาติอาเซียน ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเติบโตอย่างรวดเร็ว และสินค้าของไทยก็กำลังไปได้สวยในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน
พรพันธ์ พรมวัง ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท คาร์ติโน เจลาติน ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คอลลาเฮลท์ กล่าวว่า บริษัทมีโรงงานผลิตคอลลาเจนเป็นของตัวเอง เริ่มต้นธุรกิจจากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์คาร์ติโน ซึ่งเน้นการผลิตคอลลาเจนป้อนโรงงานอุตสาหกรรม จากนั้นจึงได้สร้างแบรนด์สินค้าเอง คือ คอลลาเฮลท์ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง และยังคงการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสำหรับผู้บริโภคที่ใช้เองทั้งแบบผงบรรจุกระป๋อง แบบซองพกพา รวมถึงคอลลาเจนอัดเม็ด
สำหรับการทำตลาดในเมืองไทย ไม่ได้เน้นการทำตลาดทั่วไปหรือการเจาะตลาดในกลุ่มกว้าง แต่จะทำตลาดโดยใช้ช่องทางเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง เช่น การทำตลาดผ่านเคเบิลทีวี ขายสินค้าผ่านทีวี รวมถึงวางขายสินค้าตามร้านขายยาชั้นนำทั่วประเทศ ซึ่งช่องทางดังกล่าวทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักไปในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ สปป.ลาว ที่สามารถรับชมสื่อไทยได้
การขยายตลาดในอาเซียนจึงเริ่มที่ สปป.ลาว ซึ่งมีลูกค้าติดต่อขอซื้อสินค้าเข้าไปจำหน่าย โดยช่วงแรกๆ เป็นการส่งสินค้าให้ลูกค้าผ่านทางชายแดน จ.หนองคาย และเมื่อได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคดีขึ้น จึงเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง
“ปีนี้บริษัทไปร่วมงานไทยแลนด์ วีก ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่กรุงเวียงจันทน์ โดยนำสินค้าแบรนด์คอลลาเฮลท์ไปออกงาน ทำให้รู้ว่าชาวลาวรู้จักสินค้าอยู่แล้ว เพราะเห็นโฆษณาทางเคเบิลทีวี การขายสินค้าให้คนลาวทำได้ง่าย เพราะพูดภาษาคล้ายกัน คน&O5532;ลาวตัดสินใจซื้อสินค้าเร็ว และยังจองซื้อสินค้าล่วงหน้าด้วย” พรพันธ์ เล่า
ลูกค้าส่วนใหญ่ใน สปป.ลาว เป็นกลุ่มข้าราชการ ทหาร เจ้าของธุรกิจ ซึ่งให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพ บริษัทจะเน้นจับลูกค้ากลุ่มบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และพร้อมจะจับจ่ายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล
พรพันธ์ กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทกำลังหาตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อมาช่วยกระจายสินค้าในตลาด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และจัดทำโครงสร้างราคาสินค้า เพราะต้องการหาคู่ค้าที่เชื่อถือได้ โดยมีหน่วยงานรัฐช่วยสนับสนุนและให้คำปรึกษา คาดว่าน่าจะได้ข้อตกลงภายในปีนี้ และจะเริ่มบุกตลาดลาวอย่างจริงจัง โดยบริษัทจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำตลาดร่วมกับคู่ค้า มีกลุ่มตลาดเป้าหมายในเมืองใหญ่ เช่น เวียงจันทน์ และหลวงพระบาง
ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าชนิดใหม่ เพื่อจับตลาดกลุ่มวัยรุ่น เน้นเรื่องความงามเพื่อทำให้สินค้ามีหลากหลายกลุ่มเข้าถึงลูกค้าทุกระดับ
“ในปีหน้าหากมีงานแสดงสินค้าก็จะไปร่วมงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ลูกค้ามีโอกาสเข้ามาซื้อหาสินค้าในงาน ส่วนเรานอกจากได้ขายผลิตภัณฑ์แล้ว ยังได้เก็บข้อมูลลูกค้าไปในตัวด้วย” พรพันธ์ กล่าว
สำหรับการแข่งขันในตลาดลาวนั้น ชนิกา ชี้ว่ามีการแข่งขันสูงมาก เพราะมีสินค้าหลากหลายแบรนด์จากหลายประเทศทั้งไทยและญี่ปุ่น เข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดแห่งนี้ ซึ่งทางบริษัทจะเน้นการแข่งขันด้วยคุณภาพ ไม่ใช่ราคา
นอกจากตลาดลาวที่เริ่มไปได้ดีแล้ว บริษัทได้มองลู่ทางขยายตลาดในประเทศมาเลเซีย โดยจะอาศัยการร่วมงานแสดงสินค้าในเดือน ก.ย.นี้
พรพันธ์ อธิบายว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีการพัฒนาคล้ายไทย คนสนใจดูแลสุขภาพ และเป็นตลาดที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งบริษัทมีคู่ค้าในมาเลเซียอยู่แล้วจากการขายคอลลาเจน และสนใจที่จะทำตลาดแบรนด์คอลลาเฮลท์ด้วย
แม้ว่าจะมีโอกาสทางการตลาดสูง ต้องยอมรับว่าตลาดมาเลเซียมีกฎระเบียบต่างๆ ค่อนข้างซับซ้อน เช่น การจดทะเบียน การขอฮาลาล มาเลเซีย รวมถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างจากไทย ดังนั้นจึงต้องศึกษาตลาดอย่างรอบคอบ
ขณะเดียวกัน สินค้าคอลลาเจนเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในมาเลเซียอยู่แล้ว เพราะมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกคอลลาเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาเรื่องตำแหน่งในตลาดของสินค้าที่จะนำเข้าไปจำหน่ายด้วย
“บริษัทได้เตรียมความพร้อมไปบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งปีนี้มีการลงทุนเครื่องจักรใหม่ และสร้างทีมงานวิจัยและพัฒนา โดยทำงานร่วมกับจีนและญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งนอกจากลาวและมาเลเซียแล้ว ยังมีตลาดเป้าหมาย อื่นๆ เช่น เมียนมา กัมพูชา และฟิลิปปินส์อีกด้วย” พรพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะเป็นโอกาสเพิ่มยอดขายสินค้าให้กับบริษัท เพราะมีผู้บริโภคและตลาดอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบริษัทจะสามารถพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด หรือเข้าถึงผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงสร้างความต้องการสินค้าได้อย่างไร
แม้ว่าการแข่งขันในตลาดอาเซียนจะรุนแรงมากขึ้น แต่การแข่งขันดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาสินค้า การผลิต และบุคลากรในองค์กรให้มีความพร้อมที่จะออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ และรับความเปลี่ยนแปลง รวมถึงรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็เป็นผลดีต่อองค์กร


