posttoday

อนันดาฯผนึกพันธมิตร ปั้นแบรนด์-ขยายตลาด

17 สิงหาคม 2558

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันในสมรภูมิธุรกิจรุนแรงขึ้น ทำให้บรรดาผู้ประกอบการต่างต้องเร่งปรับตัว

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันในสมรภูมิธุรกิจรุนแรงขึ้น ทำให้บรรดาผู้ประกอบการต่างต้องเร่งปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการขยายฐานลูกค้า รวมไปถึงการหาพันธมิตรเข้ามาช่วยขยายตลาด เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เลือกใช้

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นตัวอย่างของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีพันธมิตรหลากหลาย เริ่มจากการจับมือกับกองทุนทีเอ็มดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ 1ภายใต้การบริหารของไพร์มเมอริกา เรียลเอสเตท อินเวสท์เตอร์ เครือข่ายของพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล อิงค์ กองทุนยักษ์ใหญ่ติดอันดับท็อปไฟว์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2549  เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน

ด้วยการสวมบทบาทความเป็นนักบริหารการเงินควบคู่กับการเป็นดีเวลลอปเปอร์ และเริ่มเดินเกมรุกด้วยการลงทุนโครงการแนวราบย่านสุวรรณภูมิ 4 โครงการ และเดินหน้าคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า 6 โครงการ มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท แม้ว่าหลังจากนั้นเศรษฐกิจสหรัฐจะต้องเผชิญวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤตซับไพรม์สินเชื่อด้อยคุณภาพที่เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อปี 2550 แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในไทยไม่ได้รับผลกระทบ โครงการได้เดินหน้าและพัฒนาจนแล้วเสร็จ

ความร่วมมือกับกลุ่มทุนต่างชาติไม่ได้จบลงแค่นั้น จนมาถึงปี 2555  อนันดาฯ ได้จับมือกับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง เรสซิเด็นเชียล (MFR) ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบนทำเลศักยภาพสูงสุด 4 โครงการ ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี  ด้วยจำนวนยูนิตกว่า 4,100 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า Gen C  และนักลงทุน และในปี 2558 บริษัทยังร่วมทุนครั้งใหญ่กับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง  ด้วยการพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าร่วมกันอีก 5 โครงการ จำนวนยูนิตรวมกว่า 4,200 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า พร้อมกับนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ ของญี่ปุ่นมาใช้เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์

“การร่วมทุนในครั้งนี้ กลุ่มมิตซุยยังคงมองเห็นศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากเศรษฐกิจที่มีทิศทางดีขึ้น การเมืองสงบ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภค รวมทั้งการเดินหน้าลงทุนโครงการรถไฟฟ้าของรัฐบาล หนุนให้ความต้องการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น บวกกับศักยภาพของอนันดาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ติดรถไฟฟ้า จึงทำให้เกิดข้อตกลงในสัญญาร่วมทุนอีกครั้งในปี 2558”   ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอป
เม้นท์ กล่าว

ที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อมาช่วยขยาย เริ่มตั้งแต่ด้านแหล่งทุน พันธมิตรจากต่างชาติอย่างบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง ประเทศญี่ปุ่น จนมาถึงพันธมิตรรายล่าสุดคือ ซัมซุง ที่ร่วมกันบุกเบิกการนำเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมเข้ามาใช้ในโครงการคอนโดมิเนียม เกาะแนวรถไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมที่ซัมซุงพัฒนาในรูปแบบอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์มาใช้เป็นอันดับ 3 ของโลกพร้อมๆ กับในสิงคโปร์  หลังจากได้เปิดตัวไปแล้วในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ    

“ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ Internet of Things (IOT) เป็นสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มการอยู่อาศัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างแท้จริง ที่สำคัญจะเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ให้มีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยได้เริ่มนำมาใช้กับโครงการคิว เทอร์ตี้วัน (Q31) สุขุมวิท 31  ระดับราคาขาย 1.5-1.7 แสนบาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นคอนโดโลว์ไรส์  8 ชั้น จำนวน 80 ยูนิต และมีแผนจะนำไปใช้กับโครงการอื่นในอนาคตอันใกล้” ชานนท์ กล่าว

สำหรับหลักการของอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ เป็นแพลตฟอร์มการทำงานเชื่อมต่อกันระหว่างดีไวซ์ต่างๆ แบบไร้สายผ่านอินเทอร์เน็ต มีการสื่อสารระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ชนิดต่างๆ เพื่อทำงานตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ซึ่งแตกต่างจากโฮมออโตเมชั่น ที่การทำงานมนุษย์จะเป็นผู้สั่ง แต่ระบบดังกล่าวคือการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความสามารถในการออกแบบฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยแต่ละราย เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มความปลอดภัย อีกทั้งดูแลสุขภาพ โดยกำหนดให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั้นสามารถสื่อสารกันเองได้ ตามพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละบุคคล  เช่น หลายบ้านต้องปล่อยให้ผู้สูงอายุและเด็กอยู่กันลำพัง ระบบสมาร์ทโฮมนี้จะช่วยเป็นหูเป็นตา และคอยระแวดระวังภัยให้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อผู้สูงอายุลื่นหกล้มและหมดสติ ระบบความปลอดภัยและการเตือนสำหรับเปิด-ปิดประตูหน้าต่าง  หรือการควบคุมระบบไฟฟ้าภายในห้องต่างๆ การเตือนระบบน้ำรั่วหรือซึม เป็นต้น

เหล่านี้คือพันธมิตรที่มาช่วยเติมเต็มความต้องการที่อยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบขึ้น แต่อนันดาฯ ยังคงเปิดกว้างในการมองหาพันธมิตรใหม่มาเติมเต็มความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่มีเพิ่มขึ้น ตามวิถีชีวิตคนเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ชานนท์ ประเมินภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วง 5 เดือนหลังของปีนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น จะเห็นได้ว่าปัจจุบันกรุงเทพฯ ยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนมากที่สุด เพราะเป็นเมืองที่กำลังขยายตัว และด้วยแรงกระตุ้นจากภาครัฐบาลของไทยที่มีความมุ่งมั่นในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมีแผนขยายการลงทุนรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายต่างๆ ในกรุงเทพฯ จาก 67 สถานีที่มีอยู่ เป็น 222 สถานีในอีก 5 ปีข้างหน้า ความชัดเจนดังกล่าวทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยรอบสถานีใหม่มีเพิ่มขึ้น

ขณะที่ในครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายรวมแล้วกว่า 1.23  หมื่นล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) กว่า 3.4 หมื่นล้านบาท จากโครงการแนวราบและคอนโด ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2559-2561  และคาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมียอดขายตามเป้าที่ตั้งไว้ 2.55 หมื่นล้านบาท จากเดิมในไตรมาสแรกได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 2.3 หมื่นล้านบาท เป้ารายได้ทั้งปีตั้งไว้ 1-1.1 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 บริษัทได้เริ่มเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ยูนิโอ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่ขอส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ที่มีราคาเริ่มต้น 1-1.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งยอดขายส่วนใหญ่เกิดจากลูกค้าในทำเล พร้อมทั้งเปิดขายโครงการแนวราบในแบรนด์อาร์เดน และเอโทล เพื่อพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและสูงให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2