คุ้มครองเงินฝาก
โดย...ชัตน์วรี
โดย...ชัตน์วรี
มีข่าวมาแจ้งย้ำเตือนอีกครั้งสำหรับผู้ที่มีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ว่า ในวันที่ 11 ส.ค. 2558 รัฐบาลหรือสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดวงเงินการคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาท เหลือ 25 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2559 เป็นต้นไปจะลดวงเงินการคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก จะคุ้มครองเงินฝากสถาบันการเงินเอกชนทั้งหมด 34 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ 29 แห่ง บริษัทเงินทุน 2 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 3 แห่งในขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น......
ล่าสุดรัฐบาลได้มีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (กองทุน SFIs) มีรายได้มาจากการจ่ายเงินสมทบของธนาคารของรัฐตามปริมาณเงินฝากของแต่ละธนาคาร เพื่อเป็นเงินทุนสำรอง และเป็นเงินประกันเพื่อจ่ายชดเชยให้ผู้ฝากเงิน ในกรณีสถาบันการเงินของรัฐมีปัญหา รวมไปถึงการนำเงินไปเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งจะเป็นการลดภาระของรัฐบาลที่จะนำเงินจากภาษีประชาชนมาโอบอุ้มธนาคารของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าธนาคารเฉพาะกิจของรัฐจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนในอัตราเท่าใด จากกฎหมายกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 1% แต่คาดว่าในเบื้องต้นจะเรียกเก็บสมทบกองทุนในอัตราเท่ากับธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 0.4% ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน (ซึ่งเป็นอัตราที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน) ซึ่งประมาณการว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนประมาณปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5 หมื่นล้านบาท/ปี ในปี 2567
สิ่งที่แตกต่างคือ สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะกำหนดเพดานการคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายในปี 2559 ในขณะที่กองทุน SFIs คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน แต่ที่เหมือนกันคือการที่สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ถือว่าเป็นต้นทุนของธนาคารที่จะเพิ่มขึ้น ในที่สุดหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผลักดันให้กับผู้ฝากเงิน โดยการลดดอกเบี้ยเงินฝาก หรือลดการระดมเงินฝาก ในขณะเดียวกันอาจจะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้มีต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น


