posttoday

เพาะพันธุ์ 'สมาร์ทฟาร์มเมอร์' ความหวังเกษตรยุคใหม่

30 กรกฎาคม 2558

หากจับคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเยี่ยมชมตลาดกลางผลไม้เพื่อการเกษตร ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง

โดย...กนกวรรณ บุญประเสริฐ

หากจับคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเยี่ยมชมตลาดกลางผลไม้เพื่อการเกษตร ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่นายกรัฐมนตรีตอกย้ำว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งอาหารของโลก แต่ปัญหาคือเราจะทำอย่างไรกับปัญหาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ เพราะวันนี้ฝนไม่ตกตามฤดูกาลเนื่องจากโลกเปลี่ยนแปลง และรัฐบาลจะต้องหาทางจัดการเรื่องปัญหาแหล่งน้ำ

ดังนั้น จึงอยากให้มีการเกษตรที่เป็นแบบอุตสาหกรรม ไม่ใช่ปลูกอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา แต่ต้องแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าด้วย กำนันและผู้ใหญ่บ้านจึงต้องเป็นผู้นำเกษตรแนวใหม่ หรือ “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” ในการเข้าถึงแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์มากขึ้น

เรื่องนี้ถือเป็นการจุดประเด็นเรื่องเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” ที่ต้องรู้จักทำการเกษตร รู้จักการแปรรูป และขายสินค้าผ่านช่องทางใหม่ เช่น ในอินเทอร์เน็ตเพื่อหารายได้หมุนเวียน

เอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการมูลนิธิอาจารย์จำเนียร สาระนาค (มจส.) ในฐานะเจ้าของโครงการ “ทายาทเกษตรกรมืออาชีพ” ซึ่งร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ล่าสุดเพิ่งเสร็จสิ้นการคัดตัวเกษตรกรรุ่นที่ 2 ของปี 2558 นี้ ตั้งเป้าหมายผลิตสมาร์ทฟาร์มเมอร์ 200 คน จากปี 2557 ที่เป็นรุ่นที่ 1 มีการคัดเลือกทายาทเกษตรกร จำนวน 50 คน มาสร้างความกล้าที่จะผันตัวหันหลังให้กับอาชีพปัจจุบัน แล้วมาทำการเกษตรแบบผสมผสาน

“เกษตรกรรุ่นใหม่ไม่เน้นขายวัตถุดิบ แต่เน้นเรื่องการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งผู้ที่เข้าโครงการรุ่นแรกส่วนใหญ่ต่างเรียนจบระดับปริญญาตรี-โทกันมาทั้งนั้น แต่เหตุผลที่เลือกคนกลุ่มนี้มาพัฒนาการเกษตร เพราะผลจากการอบรมเกษตรกรสูงอายุมาหลายรุ่นไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เป็นแหล่งรวมองค์ความรู้ใหม่ได้” เอ็นนู กล่าว

คนรุ่นเก่าจะต่างกับเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีความรู้และสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้คล่อง หลายคนเรียนจบมานานแล้วประกอบอาชีพมีประสบการณ์ชีวิต เมื่อแรกเข้าโครงการก็ได้เกษตรกรพี่เลี้ยงมาอบรมและพาไปเยี่ยมปราชญ์ชาวบ้าน และศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตรต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้มีความกล้าในการทำอาชีพเกษตรกร จนเมื่อคนเหล่านี้ได้ลองทำกินบนที่ดินตัวเอง หรือขอที่ดินพ่อแม่ 3-5 ไร่ มาทำการเกษตรแบบผสมผสาน มีการปลูกพืชอายุสั้น เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียน

ผลจากการนำร่องปรากฏว่า เดิมทีที่พ่อแม่เคยโกรธลูกๆ เพราะทิ้งอาชีพการงานในเมืองใหญ่ เช่น โปรแกรมเมอร์ ทนายความ ประชาสัมพันธ์ กลับมาทำไร่ไถนาที่บ้านนั้น พ่อแม่เริ่มหันกลับมายอมรับและภูมิใจในตัวลูกหลานแทน

เพราะคนรุ่นใหม่เหล่านี้ พิสูจน์ได้ว่า สามารถทำรายได้จากการเกษตรได้มากกว่าอาชีพเดิม เช่น บางคนที่ปลูกข้าว และมีความสามารถในการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติม จะพบว่า ข้าวสามารถแปรรูปเป็นสินค้าอื่น เช่น ไอศกรีม จมูกข้าว กาแฟข้าว ชาข้าว และต่อยอดคิดแบรนด์สินค้าของตัวเองขึ้น คิดแพ็กเกจสินค้า สามารถสร้างเว็บไซต์ สร้างเครือข่ายในการขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตจนทำให้มีรายได้อื่นเสริมนอกจากปลูกข้าว ในช่วงแรกๆ มีรายได้ที่หลัก 5-6 หมื่นบาท/เดือน และคาดว่าจะเพิ่มมากกว่าแสนบาท/เดือน หากเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น

เอ็นนู กล่าวต่อว่า โครงการทายาทเกษตรกร รุ่นที่ 2 ในปีนี้ คัดเลือกทายาทได้แล้ว 200 คน จากผู้สมัคร 400 คน แยกเป็น 1.ลูกเกษตรกรลูกค้า ที่พ่อแม่อายุเกิน 60-70 ปี และลูกต้องการจะทำการเกษตรแทนพ่อแม่ 2.ลูกของผู้นำชุมชนเข้มแข็งทั้ง 84 ชุมชน จากทั่วประเทศ ขณะนี้ผู้นำหลายคนเริ่มอายุมากและเกรงว่าจะขาดผู้สืบทอด

3.กลุ่มคนทั่วไปที่ต้องการทำการเกษตรแนวใหม่ ซึ่งผลดำเนินงานรุ่นแรกจาก 50 คน ที่เข้าโครงการ มี 37 คน ที่มั่นใจว่าผ่านและสามารถหารายได้ที่มั่นคงจากอาชีพเกษตรกรได้แล้ว ซึ่งในปี 2559 คือปีสุดท้ายของการทำโครงการระยะแรกนี้ ตั้งเป้าผลิตทายาทเกษตรถึง 500 คน

เชื่อกันว่าองค์ความรู้ที่ได้จากโครงการนำร่องนี้ จะถือเป็นการสร้างต้นแบบของการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ เปลี่ยนทัศนคติที่ทำการเกษตรต้องขายแต่ผลผลิต หันมารู้จักการแปรรูป ทำการตลาดเพื่อเพิ่มรายได้ จะได้ไม่ต้องแหงนคอรอแต่ฝนแต่ฟ้า และพึ่งพาน้ำบ่อหน้าจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?