posttoday

ความรับผิดฐานแจ้งความเท็จ

16 กรกฎาคม 2558

ในยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ชอบโกหกแต่งเรื่องหลอกลวงชาวบ้านหรือสร้างความปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งให้ร้ายผู้อื่นทั้งที่ตัวเองเป็นผู้กระทำความผิด สังคมไทยในยุคปัจจุบันจึงมีคนที่ชอบโกหกเป็นจำนวนมาก และมองว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เพราะใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการส่งต่อข้อความเท็จทางโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่ก็ยังส่งต่อเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคลอื่นเป็นวงกว้าง ทนายคลายทุกข์จึงขอนำข้อกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งความเท็จ และความรับผิดของผู้ที่กระทำความผิดมานำเสนอต่อผู้อ่านคอลัมน์ดังนี้

ในยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ชอบโกหกแต่งเรื่องหลอกลวงชาวบ้านหรือสร้างความปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งให้ร้ายผู้อื่นทั้งที่ตัวเองเป็นผู้กระทำความผิด สังคมไทยในยุคปัจจุบันจึงมีคนที่ชอบโกหกเป็นจำนวนมาก และมองว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เพราะใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการส่งต่อข้อความเท็จทางโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่ก็ยังส่งต่อเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคลอื่นเป็นวงกว้าง ทนายคลายทุกข์จึงขอนำข้อกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งความเท็จ และความรับผิดของผู้ที่กระทำความผิดมานำเสนอต่อผู้อ่านคอลัมน์ดังนี้

1.ความหมายของการแจ้งความเท็จ หมายถึง การแจ้งข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากความจริง การแจ้งข้อกฎหมายผิดไปจากความจริงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ การแจ้งข้อเท็จจริงที่ตัวเองพบเห็นมาตามความเป็นจริงต่อพนักงานสอบสวนไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2465/2555, 1173/2539, 3107/2516, 5600/2541)

ตัวอย่างคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2516

โจทก์ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ได้พกพาอาวุธปืนขณะที่มิได้อยู่ในบ้านของตน แต่อยู่ที่บ้านของพี่โจทก์ จำเลยเป็นตำรวจได้ตรวจค้นพบอาวุธปืนนั้นที่ตัวโจทก์ จึงจับโจทก์และแจ้งความหาว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาล และพกพาอาวุธปืนกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การพกพาอาวุธปืนเช่นนี้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงการแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย และการที่จำเลยแจ้งด้วยว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความผิดอาญาการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ

2.การแจ้งความเท็จต้องเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่ามีอยู่จริง ถ้าเป็นเพียงแจ้งไปตามคำบอกเล่าของผู้อื่น หรือการคาดคะเน หรือเป็นเพียงความเชื่อของตนเองไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง ผู้แจ้งไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2550/2529)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2529

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ได้ความว่า การที่จำเลยไปแจ้งว่าชายคนที่ไปร้านของจำเลยคือโจทก์นั้น ก็เป็นการแจ้งไปตามคำบอกเล่าของเด็กที่อยู่ในร้านโจทก์ มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงให้ปรากฏในคำฟ้องว่าเด็กในร้านมิได้บอกกับจำเลยเช่นนั้น อันจะทำให้เห็นว่าข้อที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จเมื่อฟังไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นเท็จ แล้วการแจ้งความของจำเลยก็ไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137

3.ผู้ต้องหาจะให้การต่อพนักงานสอบสวนอย่างไรก็ได้หรือจะไม่ให้การเลยก็ได้ คำให้การของผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวนที่เป็นเท็จ ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 225/2508, 1093/2522, 4048/2528)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2528

การที่จำเลยเป็นคนสัญชาติญวนไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หลังหนึ่งเลยแล้วไปแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมทะเบียน จดข้อความเท็จลงในทะเบียนบ้านอีกหลังหนึ่งว่าจำเลยเป็นคนสัญชาติไทย ย้ายมาจากบ้านที่จำเลยไม่เคยมีชื่ออยู่นั้นการกระทำของจำเลย ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนเขตดุสิตว่า จำเลยมีสัญชาติไทย ขอทำบัตรประชาชนคนไทยและนายทะเบียนเขตดุสิต ได้ออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยอันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ สำหรับใช้เป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคลและสัญชาติ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่นายทะเบียนเขตดุสิตนั้น เมื่อปรากฏว่าบัตรประจำตัวประชาชนที่เจ้าพนักงานออกให้นั้น ไม่มีการจดข้อความเท็จที่ว่าจำเลยมีสัญชาติไทย ลงไว้กรณีจึงไม่ครบองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 จำเลยคงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เท่านั้น

การที่จำเลยซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหาว่าเป็นคนญวนอพยพ หนีจากเขตควบคุมให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวประชาชน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูนั้นเป็นการปฏิเสธในฐานะผู้ต้องหาแม้ข้อความ ที่จำเลยให้การนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และจะเอาผิดแก่จำเลยฐานใช้ หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงาน จดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

4.คู่สมรสแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าตัวเองเป็นโสด เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับสินสมรส เช่น การขายที่ดิน การจด
จำนอง ทั้งที่ตัวเองมีคู่สมรสอยู่แล้ว การกระทำดังกล่าวย่อมทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายได้รับความเสียหาย เพราะต้องสูญเสียสินสมรสไปโดยที่ไม่ได้ให้ความยินยอมในการทำนิติกรรม การกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 8739/2522)

5.มีคู่สมรสอยู่แล้วแต่ไปแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนว่ายังไม่ได้สมรส ซึ่งเป็นความเท็จทำให้อีกฝ่ายหลงเชื่อจึงยอมสมรสด้วย การกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2614/2518, 2052/2530)

6.คู่มือจดทะเบียนรถยนต์ไม่ได้สูญหายแต่อยู่กับบุคคลอื่น แต่กลับไปแจ้งความว่าเอกสารหายเพื่อให้ทางราชการออกใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้ใหม่ การกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 3162/2540)

ความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งคนอื่นก็ต้องรู้ว่าเราโกหก และสุดท้ายคนโกหกก็จะต้องถูกลงโทษ ทางที่ดีเป็นคน คิดดี พูดดี ทำดี จะดีกว่านะครับ

ข่าวล่าสุด

จ่อตั้ง 1 จังหวัด 1 คลินิก 'การแพทย์แม่นยำ' ถอดรหัสพันธุกรรมโรคมะเร็ง-โรคหายาก