กัลกุล ดำรงปิยวุฒิ์ เศรษฐีพลังงานครบวงจร
ธุรกิจพลังงานทดแทนทำให้ “กัลกุล ดำรงปิยวุฒิ์” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) วัย 60 ปี ติดทำเนียบมหาเศรษฐีฟอร์บส์ ประเทศไทย ครั้งแรกปีนี้ ในอันดับที่ 44 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 1.76 หมื่นล้านบาท โดยมี โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ภรรยา บริหารงานเคียงข้างในฐานะประธานกรรมการบริหารและประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
ธุรกิจพลังงานทดแทนทำให้ “กัลกุล ดำรงปิยวุฒิ์” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) วัย 60 ปี ติดทำเนียบมหาเศรษฐีฟอร์บส์ ประเทศไทย ครั้งแรกปีนี้ ในอันดับที่ 44 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 1.76 หมื่นล้านบาท โดยมี โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ภรรยา บริหารงานเคียงข้างในฐานะประธานกรรมการบริหารและประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
บริษัทด้านพาณิชย์ที่ซื้อมาขายไปอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อเดือน ต.ค. 2553 ณ เวลานั้น บริษัทได้สัมปทานทำโซลาร์ฟาร์มมาแล้ว และเตรียมเร่งระดมทุนเข้า ตลท.เพื่อก่อสร้างธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์
นับตั้งแต่ปี 2555 เมื่อโรงไฟฟ้าก่อสร้างแล้วเสร็จ ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากกำไร 90 ล้านบาท ในปี 2554 เป็น 778 ล้านบาท ในปี 2555 ปี 2556 มีกำไร 883 ล้านบาท และปี 2557 กำไร 545 ล้านบาท
โครงสร้างรายได้ของบริษัทเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อปี 2557 ที่มีรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนเกิน 50% ส่งผลให้ราคาหุ้นก้าวกระโดดตาม ถ้านับจากเข้า ตลท.จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 7 ปี ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า เฉพาะปีที่ผ่านมาที่ธุรกิจพลังงานทดแทนพลิกขึ้นมาทำรายได้หลัก ราคาหุ้นของ GUNKUL พุ่งขึ้นไปกว่า 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม ไตรมาสแรกที่ผ่านมากำไรสุทธิของ GUNKUL ลดลงถึง 88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 48 ล้านบาท ตามรายได้ที่ลดลง
กัลกุล กล่าวว่า ไตรมาส 2 คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นจากไตรมาสแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากเริ่มก่อสร้างและมีงานขายที่รับรู้รายได้ ช่วงนี้แสงแดดดีและมียอดขายไฟฟ้าและอุปกรณ์เพิ่ม และครึ่งหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก
พงษ์สกร ดำเนิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและวางแผนกลยุทธ์ GUNKUL กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 5,200 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 50% เนื่องจากปีนี้บริษัทรู้รายได้จากงานในมือ ของงานรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า (EPC) 600 ล้านบาท จากที่มีอยู่ 1,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 545 ล้านบาท
โศภชา กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ในสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากในประเทศ โดยรายได้จากเมียนมาไม่ถึง 5%
สำหรับปีนี้ “กัลกุล” กล่าวว่า ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มเป็น 60% เนื่องมาจากธุรกิจนี้ลงทุนครั้งเดียวต่อไปแค่บำรุงรักษาจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปี 2559 รายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนจะเพิ่มเป็นมากกว่า 80% และปี 2560 เพิ่มเป็น 95% เนื่องมาจากจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งหมดแล้วเสร็จ
สถานการณ์ธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศแข่งขันสูงตั้งแต่ปี 2557 ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าไม่มีส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) แล้วทำให้บริษัทรุกเข้าไปลงทุนที่ญี่ปุ่น
GUNKUL ได้สัมปทานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 70 เมกะวัตต์ สัญญา 25 ปี ตั้งแต่ 2 ปีก่อน และได้แอดเดอร์ 8 บาท 8 ชั่วโมง/วัน โรงไฟฟ้าพลังงานลม 170 เมกะวัตต์ กำลังก่อสร้าง ได้แอดเดอร์ 3.50 บาท 24 ชั่วโมง/วัน นับว่าได้ผลตอบแทนดีกว่าพลังงานแสงอาทิตย์
โศภชา กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2558-2560) จะมีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 500 เมกะวัตต์ ที่จะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบปี 2561 โดยปัจจุบันมีแล้ว 270 เมกะวัตต์
พงษ์สกร กล่าวถึงความคืบหน้าการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเข้าซื้อกิจการ Sendai Okura Mega Solar (GK Sendai) กำลังการผลิตประมาณ 31.75 เมกะวัตต์ ว่า เตรียมก่อสร้างและจะจ่ายไฟเข้าระบบได้ในกลางปี 2560 และเฟส 2 อีก 34 เมกะวัตต์ และเฟส 3 อีก 39 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) คาดว่าจะสรุปได้ปีนี้ และกลางปีหน้าจะได้ข้อสรุปขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 100 เมกะวัตต์ โดยพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพที่จะพัฒนาโรงไฟฟ้าได้ถึง 200 เมกะวัตต์ จะจ่ายไฟเพิ่มขึ้นได้ในปี 2561-2562
ด้านโครงการผลิตไฟฟ้าในประเทศเมียนมา เฟสที่ 2 กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดเริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2558 นี้ ส่วนเฟสที่ 3 อยู่ระหว่างรอสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)
บริษัทอัดงบลงทุนปีนี้หมื่นล้านบาท ลุยโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังลม พร้อมขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นให้ครบ 200 เมกะวัตต์ในปี 2561
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มค้างท่อ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 2 โครงการ รวม 95 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 93 เมกะวัตต์ โดยบริษัทเจรจากับเจ้าของโครงการเพื่อเข้าร่วมทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มประมาณ 80 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ส.ค.นี้
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมในเฟสแรก 60 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะจ่ายไฟเข้าระบบในเดือน พ.ค. 2559 ส่วนเฟส 2 อีก 50 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการหาผู้รับเหมาก่อสร้าง คาดว่าจะจ่ายไฟเข้าระบบในเดือน มี.ค. 2560 และเฟส 3 อีก 60 เมกะวัตต์ จะจ่ายไฟในเดือน มี.ค. 2560 ทำให้บริษัทจะรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมปีละ 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ โครงการละ 50 เมกะวัตต์ และ 16 เมกะวัตต์ แต่ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายรัฐในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานลม
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าขยะอยู่ระหว่างการศึกษาเช่นกัน แต่การลงทุนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบายรัฐว่าจะส่งเสริมให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนมากน้อยแค่ไหน หรือภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนเอง


