ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะมีอะไร ‘เข้มข้นกว่าเดิม’ เพิ่มหรือไม่
โดย...สุรพล โอภาสเสถียร
โดย...สุรพล โอภาสเสถียร
ข่าวคราวของหนี้ครัวเรือน ได้กลับมาเยือนบนพื้นที่ของสื่อมวลชนอีกครั้ง ระดับที่ขึ้นหน้า 1 ของสื่อเลยก็มี ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2558 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า ระดับของหนี้ครัวเรือนเมื่อสิ้นปี 2557 ของประเทศไทยและมาเลเซียอยู่ในระดับสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ 86% และ 88% ตามลำดับซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทั้งนี้ในรายงานยังได้
ระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นมากในช่วงปี 2553-2556 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการรถคันแรกและโครงการบ้านหลังแรก สำหรับมาเลเซียเกิดขึ้นจากการผ่อนปรนเงื่อนไขการให้สินเชื่อและความต้องการเงินกู้ที่แข็งแกร่งจากลูกค้าสำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามข้อมูลข่าวสารคงต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า “หนี้ครัวเรือน” ตามนิยามอย่างเป็นทางการนั้น หมายถึง เงินให้กู้ยืมที่สถาบันการเงิน (หมายถึง ธนาคาร ธนาคารของรัฐ Nonbank ผู้ให้บริการบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล บริษัทเช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ แม้แต่โรงรับจำนำ การกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ กู้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์) เช่น การกู้ซื้อสินค้า ดอกเบี้ย 0% ผ่อน 6 งวด ก็ถือเป็นหนี้ครัวเรือนไปด้วย โดยหนี้ครัวเรือนในที่นี้จึงไม่รวมหนี้นอกระบบ คือ ไม่รวมหนี้ค่าแชร์ ไม่รวมหนี้ที่กู้กับเพื่อน-กู้ญาติ ไม่รวมหนี้ที่กู้จากเจ้าหนี้นอกระบบแบบดอกโหด ไม่รวมหนี้ที่เกิดจากการเอาทองไปฝากไว้ที่ร้านทอง ไม่รวมหนี้ที่เกิดจากการแลกเช็คนะครับ
แล้วคนที่ปล่อยกู้หลักๆ คือใครในบรรดาสถาบันการเงิน คำตอบคือ ผู้ปล่อยกู้หลักแก่ภาคครัวเรือน 3 อันดับแรก คือ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสหกรณ์ออมทรัพย์ คิดเป็น 44% 30% และ16% ของหนี้ครัวเรือนทั้งระบบตามลำดับ
หนี้ครัวเรือนไทย ณ สิ้นปี 2557 เท่ากับ 10.43 ล้านล้านบาท โตจากสิ้นปี 2552 ซึ่งเท่ากับ 5.55 ล้านล้านบาท
มีผู้คนที่อยู่ในแวดวงการเงิน หรือผู้ที่คิดว่ามาตรการควบคุม-ป้องกัน-แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในต่างประเทศอาจจะใช้วิธีการดังนี้1.กำหนดระดับสัดส่วนภาระหนี้ที่ต้องชำระต่อรายได้ (Debt Service Ratio : DSR) โดยอาจออกกฎบังคับหรือขอความร่วมมือไม่ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ยื่นขอกู้ที่มีระดับ DSR สูงเกินกว่าระดับที่อาจส่งผลให้ผู้กู้เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้ และมีความเสี่ยงต่อสถาบันการเงิน ตัวอย่างเช่นระดับ DSR ของผู้ขอกู้ไม่ควรเกิน 50% หมายความว่า ผู้กู้ที่มีรายได้เฉลี่ย 100 บาท/เดือน หากมีหนี้ที่ต้องจ่ายเดิมก่อนขอกู้ใหม่เกินกว่า 50 บาท/เดือน จะไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มได้ จนกว่าหนี้เก่าจะลดลงมาหรือมีรายได้เพิ่มจน DSR ดีขึ้นกว่าเดิม
2.กำหนดระดับสัดส่วนภาระหนี้รวมต่อรายได้ (Debt Burden Ratio : DBR) โดยอาจออกกฎบังคับหรือขอความร่วมมือไม่ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ยื่นขอกู้ที่มีระดับ DBR สูงเกินกว่าระดับที่กำหนด เช่น DBR ที่ 22 เท่าของรายได้ และกำหนดว่าหนี้ที่จะเอามาคำนวณนั้นต้องเป็นหนี้ที่ไปกู้แบบไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) นะ หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ที่มีหลักประกันไม่เอามาคำนวณ
ลองเอาไปคิดกันต่อหรือไม่ครับว่า มันควรมีการกำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มาได้แล้วหรือไม่


