กฟผ.เล็งเพิ่มEGATIFอีก2หมื่นล.
กฟผ.ขอ 1 ปี นำ “พระนครเหนือชุด 2” เพิ่มขนาดกอง EGATIF อีก 2 หมื่นล้าน
กฟผ.ขอ 1 ปี นำ “พระนครเหนือชุด 2” เพิ่มขนาดกอง EGATIF อีก 2 หมื่นล้าน
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายขนาดกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) โดยลงทุนเพิ่มในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ที่กำลังจะแล้วเสร็จ มีขนาดกำลังการผลิตอีกประมาณ 900 เมกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะได้ข้อสรุป
“การตัดสินใจเพิ่มขนาดกองทุนต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น การตอบรับของนักลงทุนในการเสนอขาย EGATIF ครั้งนี้ว่าจะเป็นอย่างไร สภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีมากแค่ไหน รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ต้องการหาช่องทางระดมทุนใหม่ๆ โดยไม่ต้องเป็นหนี้สาธารณะ การมีส่วนช่วยพัฒนาตลาดทุน และเป็นตัวอย่างให้รัฐวิสาหกิจอื่น” นายสุนชัย กล่าว
นายสุนชัย กล่าวอีกว่า แผนลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ.ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า จะใช้เงินลงทุนมากกว่า 4 แสนล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินสมทบ เงินกู้ในประเทศ การออกพันธบัตร และการเพิ่มสินทรัพย์ของกองทุน
สำหรับภาระหนี้ของ กฟผ.ในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยเป็นภาระหนี้สกุลเงินบาทประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และเงินสกุลต่างประเทศอีกประมาณ 1,000 ล้านยูโร ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 6 แสนล้านบาท
นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายวาณิชธนกิจ 2 ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเพิ่มขนาดกองทุน EGATIF ขึ้นกับผลตอบรับจากนักลงทุน และต้นทุนทางการเงินของ กฟผ.
ทั้งนี้ EGATIF มีมูลค่ากองทุน 20,025-20,855 ล้านบาท ลงทุนในสิทธิในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญา 670 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยจะเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ระหว่างวันที่ 22-26 มิ.ย. 2558 ราคาหน่วยละ 10 บาท จำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 หน่วย ในปีแรกคาดว่าจะจ่ายคืนนักลงทุนประมาณ 8.5% โดยเป็นการคืนเงินต้น 3% และผลตอบแทน 5.5%
“ผลการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ที่ผ่านมาถือว่ามีผลการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยเฉพาะบริษัทประกันชีวิต และนักลงทุนรายย่อย เพราะกองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอตลอด 20 ปี และมีลักษณะคล้ายกับพันธบัตรรัฐบาล” นายอรรถพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายอรรถพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า ภายในปีนี้มีโอกาสเห็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนเพิ่มทุนและตั้งกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจ ขณะที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจจะใช้เวลาศึกษาและดำเนินการที่นานกว่าภาคเอกชน


