posttoday

รุ่นใหม่ " พี.เอส.กรุ๊ป " จากธุรกิจอวนมุ่งสู่บริษัทมหาชน

12 มิถุนายน 2558

ธุรกิจที่เปลี่ยนมือจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งถือว่าต้องเผชิญความท้าทายอย่างมาก จากผู้บริหารที่เปลี่ยนไปอาจทำให้นโยบายองค์กรต้องเปลี่ยนแปลงตาม หากสามารถโน้มน้าวให้บุคลากรในองค์กรพร้อมร่วมมือ ธุรกิจก็คงเดินหน้าไปสู่การ

ธุรกิจที่เปลี่ยนมือจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งถือว่าต้องเผชิญความท้าทายอย่างมาก จากผู้บริหารที่เปลี่ยนไปอาจทำให้นโยบายองค์กรต้องเปลี่ยนแปลงตาม หากสามารถโน้มน้าวให้บุคลากรในองค์กรพร้อมร่วมมือ ธุรกิจก็คงเดินหน้าไปสู่การ

เปลี่ยนแปลงไม่ยาก

เจริญศักดิ์ ผลประสิทธิ์กูล กรรมการผู้จัดการ พี.เอส.กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตกปลา เปิดเผยว่า เดิมทีคุณพ่อก่อตั้งธุรกิจจำหน่ายแหและอวนจับปลา โดยตั้งบริษัทอยู่ที่ย่านสำเพ็ง กระทั่งคุณพ่อเสียชีวิตไปในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พี่ชายและพี่สาวได้เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจต่อ ก่อนที่ตนเองจะเริ่มเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจขณะที่ยังเรียนปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ในด้านงานขาย

ภายหลังเรียนจบปริญญาตรีก็เข้ามาบริหารงาน เพราะเป็นจังหวะที่พี่สาวและพี่ชายเน้นหนักเรื่องการติดต่อลูกค้าในและต่างประเทศพอดี จึงไม่มีเวลามาดูแลด้านบริหาร ซึ่งทันทีที่เข้ามาดูแลงานบริหารก็ได้เน้นเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรใหม่ทั้งหมด จากเดิมทำธุรกิจกันแบบครอบครัวจึงไม่ได้ระบุหน้าที่ตำแหน่งงานของพนักงานแต่ละคนให้ชัดเจน ก็จะให้ความชัดเจนเรื่องนี้มากขึ้นซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 ปีจึงปรับโครงสร้างองค์กรเข้าที่

ช่วงที่ปรับโครงสร้างองค์กรก็มีปัญหาเรื่องการปรับตัวของพนักงานบ้าง แต่เนื่องจากช่วงปรับโครงสร้างได้ให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมวางบทบาทตำแหน่งของแต่ละคนร่วมกัน ทำให้ส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือผ่านมาได้ แต่ก็ยอมรับว่ามีบางคนปรับตัวไม่ได้และออกจากบริษัทไปบ้าง และหลังโครงสร้างชัดเจนบริษัทก็เริ่มมีกฎระเบียบควบคุม เพื่อให้การทำงานเป็นระบบระเบียบส่งผลให้เกิดการทำงานที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นบริษัทครอบครัวเอาไว้อยู่ ในด้านการบังคับบัญชายังเน้นไม่ให้มีสายงานบังคับบัญชาหลายขั้น เพื่อการทำงานที่รวดเร็ว

นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นธุรกิจครอบครัวที่อิงมาตรฐานมากขึ้นแล้ว ยังได้ขยายธุรกิจเพิ่มเติมด้วย จากเดิมทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อ-ผู้ขาย คือสั่งให้ผู้ผลิตผลิตแหและอวนมา ภายใต้แบรนด์หัวช้าง รวงข้าว และตรามือ ก็ขยายมาตั้งโรงงานผลิตเชือก โซ่ และตาข่าย ใช้ทำแหและอวนส่งออกต่างประเทศและยังได้ต่อยอดไปสู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ตกปลาพร้อมอุปกรณ์เสริม รวมทั้งจัดตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์ตกปลา ภายใต้แบรนด์ของตัวเองด้วย ได้แก่ โพเซดอน (Poseidon) รอกสำหรับตกปลาในน้ำทะเล ซีโร่ (Zero) รอกสำหรับตกปลาในน้ำจืด และแบส โซน (Bass zone) อุปกรณ์เสริมตกปลา

“ปัจจุบัน พี.เอส.กรุ๊ป มีบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท พี.เอส. ฟิชเชอรี่ อินเตอร์เนชั่นแนล สำหรับส่งออกแห-อวน อุปกรณ์การเกษตรไปต่างประเทศ บริษัท พี.เอส. ฟิชเชอรี่ แมนูแฟคเจอริ่ง เป็นบริษัทผลิตเชือก โซ่ และตาข่าย ทำแห อวน และอุปกรณ์การเกษตร บริษัท พี.เอส.กรุ๊ป ฟิชชิ่ง สปอร์ต ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกปลา และบริษัท พี.เอส.โซลูชั่น แอนด์ คอนซัลติ้ง ทำธุรกิจเป็นที่ปรึกษางานเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) เสนอโซลูชั่นให้องค์กร” เจริญศักดิ์ กล่าว

เมื่อองค์กรเติบโตขึ้นเป็นลำดับ ล่าสุดได้ใช้งบ 120 ล้านบาท ตั้งสำนักงานใหญ่และโชว์รูปจัดแสดงสินค้าพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ย่านพุทธมณฑลสาย 3 ส่วนหลังจากนี้มีแผนผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ตาข่ายพลาสติก เปิดตัวภายในปีนี้ สาเหตุที่เลือกผลิตสินค้านี้เพราะตลาดต้องการสูงเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนอวนได้และมีราคาถูกกว่า

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ไปประเทศใหม่ๆ จากเดิมส่งออกแหและอวนไปพม่า ก็จะขยายไปยังมาเลเซียและอินโดนีเซียเพราะตลาดมีขนาดใหญ่ ขณะที่อุปกรณ์ตกปลาปัจจุบันส่งออกหลายประเทศในเอเชียและยุโรปอยู่แล้ว อยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐเพิ่ม

สำหรับผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมามีรายได้ทุกบริษัทรวม 700 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 20% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาดส่งออก ซึ่งเป็นอัตราเติบโตระดับเดียวกับ 5 ปีที่ผ่านมาที่โตเฉลี่ยกว่า 20% ส่วนหลังจากนี้ก็คาดว่าจะยังโต 20% ต่อเนื่องได้ทุกปี ส่งผลให้ 5 ปีข้างหน้า มีรายได้รวมจะโตเท่าตัวจากปัจจุบัน

เจริญศักดิ์ อธิบายว่า แห อวน อุปกรณ์ตกปลาไม่ใช่สินค้าที่ยอดขายขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเลย ดังนั้นแม้เศรษฐกิจแย่ไม่ได้หมายความว่ายอดขายต้องแย่ตาม หรือถ้าเศรษฐกิจดียอดขายก็อาจไม่ได้ดีตามเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าเพื่อการดำรงชีพ ซึ่งปัจจุบันยอดขายแหและอวนในไทยไม่ได้โตมากแล้ว อยู่ที่ปีละ 5% เพราะกลุ่มคนที่ใช้แหและอวนในการดำรงชีพลดลง แต่กลุ่มตลาดระดับบนที่ใช้อุปกรณ์ตกปลามีแนวโน้มโตได้ดีกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทต้องเน้นเรื่องการส่งออกกับสินค้ากลุ่มแห-อวนไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีความต้องการใช้สินค้าประเภทนี้สูงอยู่

ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ใน 5 ปีข้างหน้า ก็อยากจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อรองรับแผนระยะยาวที่บริษัทต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงมากขึ้น แต่กว่าจะถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทคงต้องปรับองค์กรอีกครั้งให้บริหารงานแบบมืออาชีพและมีมาตรฐานการทำงานสูงขึ้น

อีก 5 ปีข้างหน้า พี.เอส.กรุ๊ป จะสามารถเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจครอบครัวสู่การเป็นบริษัทมหาชนได้หรือไม่คงต้องติดตาม

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"