กฤษณาชาไทย เพิ่มกำลังผลิตรับAEC
นอกจากการเป็นไม้เนื้อหอมที่นำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยราคาแพงแล้ว ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ชากฤษณา” อีกด้วย
โดย...อชัถยา ชื่นนิรันดร์
นอกจากการเป็นไม้เนื้อหอมที่นำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยราคาแพงแล้ว ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ชากฤษณา” อีกด้วย โดยวิสาหกิจชุมชนแปรรูปไม้กฤษณาไทยรุ่งการเกษตร-ศรีวิชัย (สะเดา) ต.นาโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กองทุน ITAP ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยสุรนารี และผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้าจากกรมการพัฒนาชุมชน สวทช. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและอีกหลายหน่วยงาน
“กฤษณาชาไทย” ต้นตำรับชาหอมกฤษณาจึงเป็นเจ้าแรกเจ้าเดียวที่ใช้นวัตกรรมในการสกัดและแยกสารส่วนเกินออกจากใบ ด้วยกระบวนการผลิตทางชีวภาพที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะใช้ระยะเวลายาวนานนับปี จึงได้ผลิตภัณฑ์ชาหอมกฤษณาที่บริสุทธิ์
สั้น แซ่จอง ฝ่ายการตลาด กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปไม้กฤษณาไทยรุ่งการเกษตร-ศรีวิชัย (สะเดา) กล่าวว่า ตั้งกลุ่มขึ้นเมื่อปี 2552 มีสมาชิกจำนวน 110 คน ใช้วัตถุดิบต้นกฤษณา 2 แสนต้น เพื่อนำใบกฤษณามาเป็นวัตถุดิบ
“กำลังการผลิตเดือนละ 2-5 ตัน แต่ตอนนี้วัตถุดิบมีไม่มาก ต้องการเพิ่มกำลังการผลิต ปลูกต้นกฤษณาเพิ่ม เพื่อรองรับการขยายตลาดที่มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดอาเซียน จีนและมาเลเซียและพัฒนาบรรจุภัณฑ์”
สินค้ากฤษณาชาไทยมีเพียงแบรนด์เดียว แต่มีบรรจุภัณฑ์ 2 แบบ ได้แก่ กฤษณาชาไทย สัญลักษณ์ใบกฤษณาคู่ จำหน่ายภายในประเทศ ส่วนอีกแบบบรรจุเป็นซองเล็กๆ พร้อมชงอยู่ในกล่องกระดาษ ใน 1 กล่อง มีซองเล็ก 15 ซอง ข้างกล่องเขียนว่า ตรา เอ-ทรี A-Tree มีภาษาไทย จีน อังกฤษ อธิบายสรรพคุณและวิธีการชงชา ราคาขายเหมือนกัน ห่อละ 250 บาท เก็บได้ไม่เกิน 3 ปี
“ที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากกรมพัฒนาชุมชนออกงานแนะนำสินค้าทั้งในและต่างประเทศ มีตัวแทนทั้งคนไทยและต่างชาติรับสินค้าของเราไปขยายตลาดต่างประเทศ ในจีน มาเลเซีย และกลุ่มประเทศอาเซียน ถือว่าทางกลุ่มได้กระจายช่องทางการจำหน่ายไปต่างประเทศ ซึ่งหลังจากนี้เรามีแผนขยายกำลังการผลิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่าปัจจุบันนี้อีกอย่างน้อย 1 เท่าตัว ซึ่งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนช่วงปลายปีนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี”


