ฮิตรวมพลังงานทดแทน
CGS ยัน บจ.ต้องการลงทุนพลังงานทดแทนหนุนงานควบรวมกิจการพุ่ง
CGS ยัน บจ.ต้องการลงทุนพลังงานทดแทนหนุนงานควบรวมกิจการพุ่ง
นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีงานทางด้านวาณิชธนกิจ ประมาณ 10 ธุรกรรม ส่วนใหญ่จะเป็นงานนำหุ้นเข้า
จดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่จะทยอยเข้าตลาดหุ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกันยังพบว่ามีงานรับเป็นที่ปรึกษาควบรวมกิจการ 2-3 ธุรกรรม ส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) และพลังงานทดแทนชีวมวลอื่นๆ เป็นผลมาจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต้องการลงทุนในกิจการเหล่านี้ ทำให้มองหาผู้ที่ได้รับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า ทำให้เกิดความต้องการในการรวมกิจการเพิ่มมากขึ้น โดยมีขนาดกำลังการผลิตไฟตั้งแต่ 2-10 เมกะวัตต์
“บจ.ต้องการธุรกิจ ขณะที่เจ้าของใบอนุญาตก็ต้องการทุน การควบรวมกันจะช่วยตอบโจทย์ เพราะธุรกิจพลังงานทดแทนใช้เงินลงทุนสูงหลัก 60-70 ล้านบาท ต่อ 1 เมกะวัตต์ และธุรกิจเหล่านี้กลายเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการเพราะเป็นธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทอย่างสูง ดังเห็นตัวอย่างจากบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) และบริษัททีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง (TPCH)” นายชูพงศ์ กล่าว
ในปีนี้ CGS คงจะมีงานนำหุ้นเข้าตลาดหุ้นเพียง บริษัท สาลี่ พริ้นท์ติ้ง (SLP) ซึ่งเพิ่งเข้าจดทะเบียนเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทในฐานะที่ปรึกษานำบริษัท ธนพิริยะ (TNP) เข้าจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ไปเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท หรือ 600 ล้านหุ้น ทั้งนี้ คาดว่าประมาณไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 ของปีนี้ น่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้
นางอมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ TNP กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตใน จ.เชียงราย ปัจจุบันมีสาขา 11 สาขา โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้นในครั้งนี้ จะนำไปใช้ในการขยายกิจการและสาขา และเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งตามแผนปี 2558-2559 บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 220 ล้านบาท แบ่งเป็น 100 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขา 5 แห่ง ทำให้สิ้นปี 2559 จะมีจำนวนสาขา 15 แห่ง และเปิดศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่ง ใช้เงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท
“แหล่งเงินในการลงทุนดังกล่าว โดยหลักจะใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอ และที่เหลืออาจกู้หรือกระแสเงินสด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพคล่องในกิจการ” นางอมร กล่าว
ทั้งนี้ จ.เชียงราย เป็นพื้นที่มีศักยภาพในภูมิภาคอาเซียน และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะยิ่งสร้างกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เพราะเชื่อมต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และพม่า อย่างไรก็ตามจะขยายพื้นที่ให้ครอบคลุม จ.เชียงรายก่อน เพราะขณะนี้มีสาขาครอบคลุมเพียง 6 อำเภอ จากที่มีอำเภอ 18 อำเภอ
นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บล.ฟินันซ่า ในฐานะตัวแทนของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC กล่าวว่า ราคาหุ้นเข้าใหม่ (ไอพีโอ)ที่ 27 บาท/หุ้น มีค่าสัดส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) อยู่ที่ 20 เท่า ซึ่งถือว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่แพง เนื่องจากบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน จากที่มีสัญญาซื้อขายไฟและสัญญาที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว และยังมีผู้ซื้อไฟชัดเจน ซึ่งจะทำให้มีรายได้และกำไรเติบโตมั่นคง โดยการเติบโต 5 ปีข้างหน้าจะโตเฉลี่ย 17% ต่อปี ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาไอพีโอ ยังมีส่วนลด 15% โดยคิดจากส่วนลดกระแสเงินสด
ทั้งนี้ หุ้น GPSC มีมาร์เก็ตแคป 4 หมื่นล้านบาท จากราคาไอพีโอที่ 27 บาท/หุ้น ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นไอพีโอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่เข้าจดทะเบียนใน ตลท.
นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC กล่าวว่า บริษัทจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2558 เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% และมีการจ่ายปีละ 2 ครั้ง และมั่นใจว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในการเข้ามาจองซื้อ จากการที่บริษัทมีแนวโน้มเติบโตที่ดีจากโครงการในมือและมีแผนที่จะขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยสิ้นปีนี้จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็นกว่า 2,000 เมกะวัตต์


