posttoday

6 กองทุน HealthCare น่าลงทุน

13 เมษายน 2558

คอลัมน์ Fund Clinic by หมอนัฐ

โดย ธนัฐ ศิริวรางกูร

ตั้งแต่ปลายปี 2555 เป็นต้นมาก็มีคนพูดถึง สังคมผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ เตรียมตัวในวัยเกษียณ โดยเน้นไปที่การดูแลสุขภาพ และดูเหมือนว่าหลายประเทศทั่วโลกก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น สำหรับนักลงทุนแล้วการลงทุนในธุรกิจกลุ่ม HealthCare ต่าง ๆ จึงน่าสนใจลงทุนในระยะยาว เพราะว่ามูลค่าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะเข้ามานั้น น่าจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของกลุ่มธุรกิจนี้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าสงสัยเลยครับ ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันครับ ว่ามีกองทุนกลุ่ม HealthCare ตัวไหนบ้างที่น่าสนใจ และมีความแตกต่างกันอย่างไร

1.BCARE ของ บลจ. บัวหลวง - เป็นกองทุนด้าน Healthcare กองทุนแรก และเป็นกองทุนที่ประสบความสำเร็จในแง่ของผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว ซึ่งกองทุนนี้ ได้ไปลงทุนกับกองทุน Master Fund อย่าง Wellington Management Portfolios (Dublin) Plc. Global Health Care Equity Portfolio โดยกองทุนนี้การลงทุนในอุตสาหกรรม Global Health Care ที่มีศักยภาพสูงในอนาคต โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เป็น Biotech ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ทำให้ผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับกองทุนอื่น ๆ ครับ โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1ปี 3 ปี และ 5 ปีนั้นอยู่ที่ปีละประมาณ 20 % เลยทีเดียว

2. UGH ของ บลจ. UOB - กองทุนนี้เป็นกองทุนลูกพี่ลูกน้องของทาง BCARE ที่ผมบอกแบบนี้ก็เพราะว่า ถึงแม้กองทุนนี้จะลงทุนในกองทุน United Global Healthcare Fund ก็ตาม แต่กองทุนนี้ก็ถูกบริหารงานโดย Wellington Management เหมือนกับกับกองทุน BCARE นั่นเอง ดังนั้น พอร์ตการลงทุนก็จะคล้าย ๆ กัน ครับ อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บ

3.  KF-HEALTHD และ KFHCARERMF ของบลจ. กรุงศรีฯ - กองทุนนี้ เป็นกองทุนที่ค่อนข้างน่าสนใจ เนื่องจากพอร์ตการลงทุนนั้นจะต่างจากกองทุน BCARE อย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ก็เพราะว่า Master Fund ของกองทุนนี้คือ JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund ที่จะเน้นการลงทุนในหุ้นบริษัทยาเป็นหลักและเลือกหุ้นจากพื้นฐานที่ดี และสัดส่วนรองลงมาก็คือกลุ่มธุรกิจ Biotech ที่เน้นการเติบโต ซึ่งผมเองก็ค่อนคุ้นเคยกับบริษัทที่อยู่ในกองทุนนี้มากกว่า เพราะเป็นบริษัทยาที่อยู่มาค่อนข้างนาน และมีพื้นฐานทางการเงินที่ดี

4. K-GHEALTH ของ บลจ. กสิกร - เป็นกองทุนฝาแฝดของ KF-HEALTHD จากกรุงศรีฯครับเพราะว่าไปลงทุนในกองทุน Master Fund กองทุนเดียวกัน แต่จะต่างกันในเรื่องของค่าธรรมเนียมเล็กน้อย และเรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินครับ

5. MS-HCARE-A, Dของ บลจ. Manulife - เป็นกองทุนที่ทาง บลจ.ของ Manulife เป็นคนบริหารเองครับ เนื่องจากเป็น บลจ. ที่มีสาขาอยู่หลายประเทศ และมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย ทำให้สามารถลงทุนได้ด้วยตนเองได้ไม่ต้องไปพึ่งการลงทุนใน Master Fund ตัวอื่น ๆ จึงเป็นกองทุนที่น่าสนใจ และคัดเลือกหุ้นในกลุ่ม HealthCare คัดหุ้นที่พื้นฐานดีเช่นเดียวกันกับ JP-Morgan ดังนั้นสัดส่วนการลงทุนใน หุ้นกลุ่มบริษัทยาต่าง ๆ จึงมีสัดส่วนค่อนข้างสูงทีเดียวครับ จากนั้นจึงเป็นหุ้นกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ และที่น่าประหลาดใจก็คือ สัดส่วนหุ้นในกลุ่ม BioTech นั้นกลับน้อยที่สุดในกองทุน HealthCare ด้วยกัน ครับ

6. PHATRA GHC ของ บลจ.ภัทร - เป็นกองทุนเก่าแก่อันดับที่ 2 รองจาก BCARE ครับ ผลการดำเนินงานก็ไม่น้อยหน้าที่เดียว แต่กองทุนนี้ค่อนข้างจะแปลกกว่ากองทุนอื่น ๆ ในกลุ่ม HealthCare ด้วยกันครับ เนื่องจากว่าเป็นการผสมระหว่าง การลงทุนแบบ Active และ Passive เข้าด้วยกัน คือ กองทุนนี้ไม่มีกองทุน Master Fund ที่ไปลงทุนด้วย แต่จะลงทุนแบบการคัดเลือก(Active) กองทุน ETF (exchange-traded fund หรือ เป็นการลงทุนกับหุ้นทุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม) ในกลุ่ม HealthCare เช่น ETF ของกลุ่มบริษัทยา และ ETF ของริษัท Biotech ต่าง ๆ ซึ่งสัดส่วนปัจจุบันนั้นก็เน้นไปในทาง Biotech มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ครับ ซึ่งข้อดีของการลงทุนผ่าน ETF ก็คือ มีการกระจายความเสี่ยงไปในตัวด้วย เพราะว่าถ้าเป็นการเลือกลงทุนในหุ้นเดี่ยว ๆ ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่านั่นเองครับ

6 กองทุน HealthCare น่าลงทุน

ตารางสรุปภาพรวมกองทุนในกลุ่ม HealthCare จาก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด

สรุป การลงทุนในกองทุน กลุ่ม HealthCare นั้นเองก็มีความเสี่ยงระยะสั้นจากราคาหุ้นที่ขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้ว แต่แนวโน้มระยะยาว ๆ แล้วก็ยังน่าสนใจเพราะว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากตามภาวะสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มากขึ้น ส่วนแนวคิดในการลงทุนกับกองทุนกลุ่มนี้ก็คือ กลุ่มอุตสาหกรรมนี้ จะคล้าย ๆ กับการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี จะสังเกตได้ว่าถ้ามียาตัวใหม่ ๆ ถูกคิดค้นขึ้น ยาตัวเก่า ๆ ก็อาจจะมียอดขายที่ลดลง และถ้ายิ่งบริษัทไหนมีการจดสิทธิบัตรไว้ด้วยละก็จะได้กำไรจากการขายยา หรือ วัคซีนสูงตามไปด้วย ทั้งนี้การลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ ก็น่าจะมีความปลอดภัยมากกว่า เนื่องจาก ฐานะทางการเงินที่ดี รวมถึงมีโอกาสที่จะควบรวมกิจการกับบริษัทเล็ก ๆ หรือ ห้องแล็ปเล็ก ๆ ที่สามารถผลิตยาตัวใหม่ ๆ ได้ ซึ่งก็คล้าย ๆ กันกับธุรกิจโรงพยาบาลในบ้านเราที่มีการควบรวมกิจการอยู่บ่อย ๆ

 

ข่าวล่าสุด

เปิดโผกลุ่มหุ้นได้-เสียประโยชน์ เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4.5 ปี