posttoday

บริหารด้วยการสร้าง ‘ครอบครัว’ ที่แข็งแรง

09 เมษายน 2558

โดย...สยาม ประสิทธิศิริกุล

โดย...สยาม ประสิทธิศิริกุล

อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีเสียเปรียบในเรื่องการเฟ้นหาพนักงานเก่งๆ เพราะคนเหล่านั้นจะเลือกเข้าทำงานกับองค์กรใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงและมั่นคงมากกว่า ทีนี้จะทำอย่างไรที่จะให้พนักงานที่เรามีอยู่ ให้ทำงานเก่งและอยู่กับเรานานๆ ทำอย่างไรจะแก้ปัญหาคนเข้า-ออกบ่อยๆ ได้ เพื่อไม่ให้ธุรกิจของเราต้องสะดุด เพราะปัจจัยเรื่องของคน

มีปรัชญาการบริหารคนของชาวญี่ปุ่นที่น่าสนใจและผมคิดว่าเหมาะกับการนำมาปรับใช้กับธุรกิจเอสเอ็มอีไทย คือการที่เน้นการบริหารแบบ “ครอบครัว” โดยคำว่า “ครอบครัว” นี้มีความหมายลงลึกตั้งแต่การเลือกเฟ้นคนเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว เน้นสร้างความผูกพันให้สมาชิกทุกคนดูแลและอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีเองส่วนใหญ่ก็ดูแลกันแบบครอบครัวเช่นกัน

การเลือกเฟ้นคนเข้ามาเป็นสมาชิกในบริษัทหรือครอบครัวนั้น ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถระดับท็อปแต่ควรจะมีแนวคิดที่สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับบริษัทและสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อที่จะได้ทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคีและร่วมผลักดันบริษัทให้เดินหน้าไปด้วยกัน ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีความเชื่อเดียวกันจะสามารถดึงความสามารถที่มีของตนเองมาช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโต และเมื่อสมาชิกสามัคคีกัน ก็จะพร้อมดูแลกันและกัน ช่วยลดจุดด้อยของบางคนและส่งเสริมพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยซ้ำครับ

นอกจากนี้ ความเป็น “ครอบครัว” ก็ยังบ่งบอกถึงความใกล้ชิดกันของสมาชิกทุกคน ด้วยความเป็นเอสเอ็มอีจำนวนสมาชิกเรามีไม่เยอะอย่างองค์กรใหญ่ เป็นข้อดีที่พนักงานได้ทำงานร่วมกันจนเกิดความสนิทสนมและอยู่กันอย่างไม่อึดอัด อีกสิ่งที่สำคัญที่จะมัดใจให้พนักงานอยู่กับเราไปนานๆ นั่นคือ “ใจ” ครับ ทำอย่างไรที่จะซื้อใจพนักงานให้เขาทำงานให้เราเต็มที่ โดยที่เขาอุ่นใจว่าเขาได้รับการดูแลที่ดี

ผมเคยฟังพนักงานหลายท่านที่เป็นเสมือนมือขวาเจ้าของธุรกิจที่อยู่มานานเล่าถึงเจ้าของธุรกิจ ก็มักจะพบว่าเจ้าของเหล่านั้นไม่ได้ดูแลแค่เรื่องงาน แต่ยังดูแลและเอาใจใส่เรื่องส่วนตัว ห่วงใยกระทั่งคนในครอบครัวทางบ้านของเขา บางทีก็เป็นการชื่นชมเรื่องฝีมือการทำอาหารของ
เถ้าแก่เนี้ยที่มีน้ำใจทำอาหารมาแบ่งปันให้พนักงานได้อิ่มท้องกันเสมอๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อผสมรวมกันก็สามารถสร้างความรู้สึกผูกพันให้เกิดขึ้นระหว่างพนักงานและบริษัทได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ

การพัฒนาพนักงานก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ ตามที่กล่าวข้างต้นว่าเอสเอ็มอีแบบเราๆ จะหาพนักงานเก่งๆ ได้ยาก ดังนั้นผู้ประกอบการควรพิจารณาถึงการลงทุนในการส่งพนักงานไปอบรม เพื่อเป็นการเปิดโลก เปิดมุมมองแนวทางการทำงานใหม่ๆ พัฒนาศักยภาพในการทำงาน ทำให้พนักงานไม่ยึดติดกับการทำงานแบบเดิมๆ วิธีการเดิมๆ ซึ่งทำให้บริษัทโตอย่างช้าๆ ไม่ทันการแข่งขันทางธุรกิจ และตัว
ผู้ประกอบการเองก็ต้องอย่าติดกับดักที่สร้างขึ้นเองกับการยึดติดกับวิธีคิด วิธีดำเนินงานแบบเดิมๆ ที่ใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางและต้องตัดสินใจเองในทุกๆ เรื่อง กลายเป็นธุรกิจเราไม่ได้ใช้ความสามารถของพนักงานเหล่านั้นอย่างเต็มศักยภาพนะครับ

ท่านควรให้โอกาสพนักงานในการคิด ตัดสินใจ และแสดงศักยภาพเพื่อให้เขารู้สึกภูมิใจในความสามารถและตำแหน่งงานของตนเอง นอกจากนี้ การตอบแทนและประเมินงานแบบใช้ความรู้สึกของเจ้าของธุรกิจนี่ต้องระวังเลยครับ ควรมีการทำเกณฑ์ขึ้นมาอย่างชัดเจนเพื่อให้ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพตรงกัน โดยทำให้อยู่ในรูปแบบที่ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อนแบบองค์กรใหญ่ และต้องตอบโจทย์ของธุรกิจ เพื่อให้พนักงานทุกคนมั่นใจว่าได้รับการประเมินและตอบแทนอย่างเป็นธรรม

ท้ายสุด พนักงานทุกคนในธุรกิจของท่านคือ “ครอบครัว”  ที่สมาชิกแต่ละคนต่างมีหน้าที่แตกต่างกันแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน...ผมเชื่อว่าแนวคิดนี้จะสามารถสร้าง “ครอบครัว” ที่อบอุ่นให้เติบใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคงได้ครับ

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568