posttoday

‘สมศักดิ์ จิตติพลังศรี’ ผู้นำแอร์ไทย มาตรฐานญี่ปุ่น

05 เมษายน 2558

ตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ได้พูดคุยกับ “สมศักดิ์ จิตติพลังศรี”กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล

โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวธกุล

ตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ได้พูดคุยกับ “สมศักดิ์ จิตติพลังศรี”กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล ต้องยอมรับว่าเป็นผู้บริหารที่มีหลักคิดไม่เหมือนใคร ทั้งการบุกเบิกสร้างแบรนด์ “ซัยโจ เด็นกิ” แอร์ไทยชื่อญี่ปุ่น จนติดลมอยู่ในตลาดแอร์พรีเมียม รวมทั้งหลักการใช้ชีวิตที่ใจกว้าง ถึงลูกถึงคน สมกับที่ใครๆ เรียกติดปากว่า “เสี่ย”

สมศักดิ์เล่าอย่างภูมิใจว่า“ซัยโจ เด็นกิ” เป็นแอร์ของคนไทยแท้ 100% และพูดได้เลยว่าเทคโนโลยีและมาตรฐานของซัยโจฯ เทียบเท่า และสามารถสู้แอร์แบรนด์จากญี่ปุ่นและเกาหลีได้สบายๆ

เขาขยายความต่อว่า การสร้างแบรนด์ “ซัยโจ เด็นกิ” ที่แข็งแกร่ง มีจุดเริ่มต้นจากการจับมือกับบริษัท เด็นกิ โชจิฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการค้าเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัท ซัยโจ เด็นกิฯ ขึ้นที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นสะพานเชื่อมในการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาสู่เมืองไทย โดยสมศักดิ์เป็นผู้ลงทุน ขณะที่ผู้บริหารที่ญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและติดต่อกับโรงงานญี่ปุ่นที่ผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ เพื่อซื้อชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นเครื่องปรับอากาศในเมืองไทยอีกทอดหนึ่ง

จากต้นทุนเก่าที่สะสมไว้สมศักดิ์จึงไม่ยอมปล่อยให้เวลาในการร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่นหมดไปกับการนำเข้าชิ้นส่วน เขามองไกลไปกว่านั้น เพราะหลังจากที่สัญญาความร่วมมือหมดลง สมศักดิ์ก็เดินหน้าลุยเดี่ยว ในที่สุด ซัยโจ เด็นกิ ก็กลายเป็นแอร์ไทยของคนไทยแท้ๆ มานานถึง 28 ปีแล้ว

โดยหนึ่งในเคล็ดลับการผลักดันให้แบรนด์กลายเป็นแอร์แถวหน้าของวงการก็คือ การทุ่มเทกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

“ตอนนั้น ซัยโจ เด็นกิ เป็นแบรนด์สินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศรายแรกๆ ของไทยที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบด้านนี้ต่อปีเป็นเม็ดเงินมูลค่าหลายล้านบาทมายาวนาน ทำให้วันนี้ชิ้นส่วนมากกว่า 80% ในการผลิตเครื่องปรับอากาศของซัยโจ เด็นกิ ล้วนเกิดจากการผลิต การคิดค้นขึ้นมาเพื่อผลิตใช้เองทั้งสิ้น”

เมื่อพูดถึงการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในขณะนั้น สมศักดิ์ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนามีความเสี่ยงในด้านความสำเร็จ การลงทุนไป 10 โปรเจกต์ อาจจะมีเพียงแค่โปรเจกต์เดียวเท่านั้นที่สำเร็จ หากไม่ตั้งใจจริงก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นน้อยมากที่จะเห็นการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในสินค้าแบรนด์ไทยอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ สินค้าแบรนด์ไทยที่มีวางขายอยู่ตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมาจาก 3 ส่วน คือ 1.เป็นการก๊อบปี้ (Copy) ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ 2.การร่วมลงทุน (Joint Venture) ซึ่งต่างชาติมักจะเป็นเจ้าของแบรนด์ คนไทยจะเป็นแค่คนรับจ้างผลิต (OEM) หรือเป็นผู้ลงทุนด้านแรงงาน เมื่อไหร่ที่เจ้าของแบรนด์ถอนการลงทุนกลับไป แบรนด์นั้นก็จะหายไปด้วย ทำให้ธุรกิจไม่มั่นคง และ 3.นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย

สมศักดิ์ เล่าต่อว่า จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของซัยโจ เด็นกิ เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน โดยขณะนั้นเผชิญกับปัญหาสินค้าต้นทุนต่ำจากจีนเข้ามาตีตลาดในไทย ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศไทยเจอวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งต้นทุนของโรงงานจีนต่ำกว่าต้นทุนที่ซัยโจฯ ผลิตเองมาก จึงมีการประชุมกันว่าจะทำอย่างไร จะเดินไปทางไหนดี เสียงในที่ประชุมต่างก็บอกว่าให้หยุดผลิตเองแล้วไปซื้อของจากจีนแทน

แต่ผู้นำแบรนด์อย่างสมศักดิ์กลับมองในทางตรงกันข้าม

“ธรรมดาที่ใครๆ ต้องคิดแบบนี้ แต่ผมกลับมองว่า สิ่งที่เราลงทุนไม่ใช่แค่ตัว ‘เงิน’ แต่เป็น ‘จิตใจ’ จึงตัดสินใจทุบโต๊ะเลยว่าจะไม่ใช้ของจีนเพื่อลดต้นทุน เพราะความสำนึกที่มีอยู่ในหัวว่า ‘เราต้องยืนด้วยขาตัวเองให้ได้ถึงจะภูมิใจ’”

ซัยโจ เด็นกิ ต้องสะสมโนว์ฮาว สะสมความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนามาค่อนข้างมาก และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6-7 ปี จนทำให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแรงพอที่จะแข่งกับแบรนด์
ต่างชาติได้ โดยอาศัยการลงทุนเครื่องจักรใหม่ในตอนนั้นมูลค่า 2,000 ล้านบาท จากที่เคยผลิตเครื่องปรับอากาศได้ 1 หมื่นชุด/ปี เพิ่มเป็น 3 แสนชุด/ปี ผลิตตั้งแต่ขนาด 9,000 บีทียู ไปถึง 6 หมื่น
บีทียู กระจายอยู่ตามบ้าน โรงแรม อาคารสำนักงาน

พร้อมกับการลงทุนด้านเครื่องจักร ก็เดินหน้าลงทุนด้านบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพิ่มจำนวนวิศวกรจาก 10 คนเป็น 60 คน และเข้มงวดกับกระบวนการผลิตให้เกิดการสูญเสียต่ำที่สุด การเปลี่ยนครั้งนี้เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนนิสัยการทำงานของซัยโจฯ ใหม่ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานมากขึ้น ทำให้สมศักดิ์รู้สึกภูมิใจในศักดิ์ศรีของตัวเองทุกครั้งเวลามองย้อนกลับไป ซึ่งมันมีค่ามากกว่าตัวเงินหลายเท่านัก

อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าแอร์แบรนด์คนไทยคุณภาพสู้แบรนด์ต่างประเทศไม่ได้ ซึ่งสมศักดิ์ระบุชัดเจนว่า เป็นความคิดที่ผิด เพราะเทคโนโลยีที่ไทยมีสามารถแข่งขันกับญี่ปุ่นได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับในประเทศญี่ปุ่นและฮ่องกงด้วย โดยแอร์ซัยโจ เด็นกิ ทุกเครื่องที่ส่งออกไปขายต่างประเทศจะมีการปั๊มธงชาติไทยลงไปที่ตัวเครื่อง เพราะต้องการให้เวลาคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ และเห็นว่าคนชาติอื่นก็ยังเชื่อมั่นและใช้แอร์แบรนด์ไทย

“ปัญหาของประเทศไทยคือ คนไทยด้วยกันเองไม่เชื่อมั่นและไม่ยอมรับในแบรนด์สินค้าไทย แต่กลับไปชื่นชมแบรนด์ต่างประเทศ สุดท้ายก็ทำให้เศรษฐกิจตัวเองไม่แข็งแรง และไม่มีอะไรไปสู้ เราจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วทุกประเทศต่างก็ปลูกฝังให้คนในชาติใช้แบรนด์ของประเทศตัวเองก่อนทั้งนั้น”

ทั้งนี้ เมื่อตระหนักถึงปัญหาที่ทำให้แอร์แบรนด์ไทยอย่างซัยโจ เด็นกิ ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาดในประเทศมากนัก ในช่วง 3-5 ปีนี้ ซัยโจ เด็นกิ จึงเน้นทำการตลาดรุกตลาดในประเทศมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนสถานะจากบริษัทขนาดกลางไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ให้ได้

สิ่งที่ให้ความสำคัญอันดับแรกคือ การสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด ด้วยการออกแคมเปญแอร์รุ่นใหม่ “สมาร์ท คูล” ขนาด 1.2 หมื่นบีทียู ที่ตัดราคาลดลงเหลือ 1.1 หมื่นบาท จากปกติ 1.7 หมื่นบาท/เครื่อง เพื่อให้คนไทยได้เห็นว่าของคุณภาพดี ราคาถูกมีจริง อีกทั้งยังหวังมากระตุ้นยอดขายในประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดขายในไทยให้ได้ 1.5 แสนเครื่องภายในปี 2559 จากปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ 6.5 หมื่นเครื่อง เพราะเมื่อไหร่ที่ยอดขายเพิ่ม ยอดผลิตรวมก็จะสูงขึ้น ซึ่งนั่นจึงจะทำให้ต้นทุนการผลิตรวมต่ำลง แล้วราคาต่อเครื่องก็จะลดลงตามมาเช่นกัน

แม้ว่าตอนนี้ราคาแอร์ไทยจะยังแข่งกับแอร์จากจีนไม่ได้ แต่ราคาก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับแอร์เกาหลี แต่เรื่องคุณภาพเทียบเท่ากับแอร์ญี่ปุ่นทีเดียว เสี่ยสมศักดิ์คอนเฟิร์ม

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"