AJPโต้ไม่เกี่ยวอาจารย์เพชร
AJP ออกโรงยัน “อาจารย์เพชร” ไม่มีเอี่ยวกับบริษัท นักลงทุนดูอนาคตธุรกิจมากกว่า
AJP ออกโรงยัน “อาจารย์เพชร” ไม่มีเอี่ยวกับบริษัท นักลงทุนดูอนาคตธุรกิจมากกว่า
นายวรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า (AJP) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้สอบถามและบริษัทไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาจารย์เพชร อดีตเจ้าอาวาสวัดประยงค์กิตติวนาราม เห็นได้ว่าราคาหุ้นวันนี้ไม่ได้สะท้อนข่าวแต่อย่างใด ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนหุ้น AJD จะพิจารณาอนาคตธุรกิจของบริษัทมากกว่า ขณะนี้ทีมบริหารอยู่ระหว่างศึกษา 2 ธุรกิจใหม่ คือ ไอที และพลังงานทดแทน
“บริษัทไม่เกี่ยวข้องกับอดีตพระอาจารย์ และไม่รู้ว่าคณะกรรมการบริษัทใครจะเป็นลูกศิษย์พระ ตลาดไม่ได้สอบถามเข้ามา ส่วนราคาหุ้นก็ปกติ ไม่มีอะไร คนลงทุนดูอนาคตธุรกิจมากกว่า” ซีอีโอ กล่าว
ด้านราคาหุ้น AJP เด้งปลายตลาด 0.30 บาท ปิดที่ 7.70 บาท และ ACD (เอเชีย คอร์ปอเรท ดีเวลลอปเมนท์) ที่มีข่าวพัวพันลูกศิษย์อาจารย์เพชร ปรับตัวลงปิด 2.72 บาท ลดลง 0.16 บาท
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่อง AJP ทราบเพียงข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เท่านั้น
ร.ต.อ.หญิง สุวนีย์ แสวงผล รองเลขา ปปง. กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดของการเข้าไปตรวจสอบและยังไม่มีเรื่องเกี่ยวกับหุ้นปั่นของอาจารย์เพชรแต่อย่างใด
สำหรับอดีตอาจารย์เพชร ภายหลังการลาสิกขาบทแล้ว มีภาพถ่ายใส่สูทแพร่ในโลกออนไลน์ บางกระแสว่าเดินทางไปฮ่องกง บางข่าวคาดการณ์ว่าลูกศิษย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ AJP จะเชิญมาร่วมงาน เนื่องจากอาจารย์เพชรเป็นผู้มีบารมีที่ลูกศิษย์ให้ความเคารพนับถือ ทั้งแวดวงการเงิน นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ นักการเมือง ผู้มีสี ทั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากอาจารย์เพชร เนื่องจากเป็นบุคคลที่เข้าถึงยาก
เลขาธิการ ก.ล.ต. ยังกล่าวถึงกรณีการตรวจสอบหุ้นเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ก.ล.ต.เข้าไปตรวจสอบทั้งหมดตามที่มีผู้ร้อง ไม่ว่าจะเป็นรายย่อยหรือกลุ่มผู้ถือหุ้น ตรวจทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหุ้น หรือแอ็กติ้ง อิน คอนเสิร์ต
“ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการสอบสวนสืบสวนหาข้อเท็จจริงและข้อมูลเชิงรุก และทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อย่างใกล้ชิด” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว
ทั้งนี้ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น ประธานกรรมการบริหาร NMG ได้ยื่นหนังสือต่อ ก.ล.ต. เพื่อสอบถามความคืบหน้าการตรวจสอบซื้อขายหุ้น NMG และยืนยันไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกับนายเสริมสิน สมะลาภา ไม่ถือว่าเข้าข่ายแอ็กติ้ง อิน คอนเสิร์ต เพราะไม่ได้ซื้อหุ้นพร้อมกัน ลงมติไปในทิศทางเดียวกัน
นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า แอ็กติ้ง อิน คอนเสิร์ต ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นพร้อมกันเสมอไป แต่ต้องมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ขณะนี้อยู่ในกระบวนการตรวจสอบอยู่
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยมองหุ้นไทยยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง จึงแนะนำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนจากเดิมอยู่ที่ 40% เหลือ 33% โดยกระจายไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศจาก 10% เป็น 17% และเพิ่มลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จาก 5% เป็น 10% เนื่องจากให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 7-8% ต่อปี
นอกจากนี้ ควรปรับลดน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศลงจาก 35% เหลือ 28% และถือครองเงินสดเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 7% เพื่อรอจังหวะลงทุนหุ้นในช่วงที่ราคาปรับลดลง เนื่องจากมองว่าจากนี้ไปจนกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าในเดือน ก.ย.นี้ ส่งผลให้การลงทุนผันผวน และหากดอกเบี้ยขึ้นแล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานยังเติบโตไม่ทันอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะมีปัญหาหรือไม่ ยังต้องจับตายุโรปและจีน
“ตอนนี้หุ้นไทยซื้อขายที่พี/อี 15 เท่า ถือว่าแพง ในขณะที่กำไร บจ.ก็ต่ำกว่าคาดการณ์ รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว และมีความเสี่ยงหากจีนซึ่งไทยส่งออกประมาณ 10% หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ส่งผลกระทบมากขึ้นไปอีก จึงต้องจับตาดูว่าเศรษฐกิจจีนจะค่อยๆ ชะลอตัวหรือชะลอตัวอย่างรุนแรง” นายพิพัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนในระดับสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่น ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มองว่าเป็นขาลง จึงส่งผลให้ผลตอบแทนจากการฝากเงินและการลงทุนผ่านพันธบัตรต่างๆ อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งยังมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นในระยะกลางและระยะยาว
“ปีนี้เป็นปีที่โลว์โกรท โลว์แวลู และโลว์ยิลด์ การลงทุนจะหาผลตอบแทนยาก จึงมองหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล สามารถรับความผันผวนของตลาดได้ทุกสภาวะ อย่างหุ้นกลุ่มสื่อสาร นอกจากปันผลสูงแล้ว ยังได้ผลดีจากการประมูล 4จี รวมทั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์”
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยต่ำ อาทิ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท (TRUEIF) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF)


