ติวเตอร์เน็ตเวิร์ก โมเดลใหม่ ‘สอนพิเศษ’
ทำไมโรงเรียนกวดวิชาถึงเติบโต? คำตอบที่ได้ยินประจำ คือ ระบบการศึกษาไทยไม่เอื้อต่อการสร้างความรู้ในห้องเรียน
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
ทำไมโรงเรียนกวดวิชาถึงเติบโต?
คำตอบที่ได้ยินประจำ คือ ระบบการศึกษาไทยไม่เอื้อต่อการสร้างความรู้ในห้องเรียน และครูที่สอนไม่ดี
สะท้อนชัดจากงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรมากที่สุดกว่าทุกกระทรวง แต่คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยกลับไม่กระเตื้องตาม
ข้อมูลที่น่าตกใจจากเวทีเศรษฐกิจโลกปี 2556 พบว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยอยู่อันดับที่ 6 ในระดับใกล้เคียงกัมพูชา!!
ขณะที่หนึ่งในนโยบายการศึกษายุคปฏิรูปนี้ยังคงรณรงค์ให้ปี 2558 เป็นปี “ปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” อยู่
คุณภาพการศึกษาย่ำแย่ เด็กไทยจมปลักอยู่กับสงครามสนามสอบ อีกด้านพบว่าธุรกิจกวดวิชาได้ขยายตัวสูงขึ้น ไม่เฉพาะเด็กโต แต่ลงลึกไปถึงเด็กเล็กแล้ว จนรัฐบาลต้องเรียกเก็บภาษีเป็นครั้งแรกจากโรงเรียนติวเตอร์เหล่านี้
รูปแบบของกวดวิชา การสอนพิเศษ มีพัฒนาการที่ซับซ้อนมากขึ้น จากครูที่กลายเป็นติวเตอร์เปิดโรงเรียนกวดวิชาเอง ก็ขยับมาเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย จับกลุ่มรุ่นพี่ติวให้รุ่นน้อง กลายเป็นเปิดรับสอนกันเป็นเรื่องเป็นราว
สถานที่สอนพิเศษ เดิมที่สอนกันที่บ้าน ก็พัฒนามาเป็นที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ ทุกวันนี้หากไปเดินตามห้างสรรพสินค้าจะเห็นวัยรุ่น คนหนุ่มสาว จับกลุ่มติวกันทั้งในร้านฟาสต์ฟู้ด ร้านกาแฟ
นอกจากติวเตอร์ที่เป็นปัจเจกบุคคลแล้ว ยังมีการจัดตั้งนิติบุคคล เกิดโรงเรียนกวดวิชาผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีการวางหลักสูตรมาตรฐาน นำเทคโนโลยีสื่อสารทางไกลมาประยุกต์ ใช้ระบบธุรกิจเข้ามาบริหารจัดการอย่างเต็มที่ พ่วงด้วยการตลาดสร้างจุดเด่น อ.คนโน้น อ.คนนี้ นับวันยิ่งเติบโต
ไม่เพียงแต่โรงเรียนกวดวิชาที่มีการวางระบบจัดการอย่างดีแล้ว ทุกวันนี้ยังมีอีกรูปแบบคือ “กลุ่มติวเตอร์” ที่มีการรวมเครือข่ายและวางระบบการจัดการอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มี Contact Point ผ่านเว็บไซต์ เพียงแค่เสิร์ชคีย์เวิร์ดง่ายๆ เช่น “รับสอนพิเศษ” “สอนพิเศษที่บ้าน” ฯลฯ ในกูเกิล ก็จะเจอกลุ่มติวเตอร์หรือสถาบันติวเตอร์เหล่านี้โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอมากมาย
หากสำรวจรายละเอียดเข้าไปในแต่ละเว็บไซต์จะพบว่าส่วนใหญ่จะเน้นจุดขาย คือมีนักศึกษาจากสถาบันชื่อดังต่างๆ มาเป็นติวเตอร์ สอนแบบตัวต่อตัว การตั้งชื่อกลุ่มหรือชื่อเว็บไซต์ก็จะอิงตามชื่อสถาบันความน่าเชื่อถือ เช่น มีคำว่า จุฬาฯ หรือ Chula แล้วหาคำอื่นๆ มาพลิกแพลงใส่
นอกจากนี้ จะมีรายละเอียดหลักสูตรและค่าบริการชัดเจน เช่น หลักสูตรอนุบาล-ประถม 180 บาท/ชม. มัธยมต้น 200 บาท/ชม. มัธยมปลาย 250-300 บาท/ชม. ไม่เท่านั้น ยังมีหลักสูตรพิเศษ เช่น ติวเข้าโรงเรียนสาธิต หลักสูตรติวเพิ่มเกรด หลักสูตรติวสอบวิชาเฉพาะ บางแห่งมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น หลักสูตร2 ภาษาคิดราคาเพิ่ม 25 บาท/ชม. หลักสูตรอินเตอร์ฯ คิดราคาเพิ่มขึ้น 50 บาท หรือเรียนเพิ่ม 1 คน คนที่เพิ่มเหลือครึ่งราคา เป็นต้น
กลุ่มติวเตอร์หรือเว็บไซต์เหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มีการจัดการอย่างไร ได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด นับเป็นพัฒนาการรูปแบบการสอนพิเศษที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ก้องเกียรติ จิราภัย” ผู้ก่อตั้ง chulatutordelivery.com เครือข่ายติวเตอร์เจ้าแรกที่มีรูปแบบการจัดการลักษณะนี้ เล่าให้ฟังว่า chulatutordelivery เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ นักศึกษา 7 คน รับสอนพิเศษหารายได้เสริมเมื่อ 7 ปีก่อน ในปีแรกยังไม่ได้จัดตั้งเครือข่ายเช่นนี้ เพียงแต่รับงานติวทั่วไป กลุ่มลูกค้าก็คือผู้ปกครองที่รู้จักกันมาจ้างให้ไปสอนลูกๆ และขยายเป็นการบอกปากต่อปาก ช่วงแรกมีรายได้ประมาณ 5,000-1 หมื่นบาท แต่ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ ยังเจอปัญหาคือคนไม่พอสอน และปัญหาการเดินทางที่บางครั้งไปสอนแล้วรายได้ต่อชั่วโมงไม่คุ้มกับค่าเดินทาง
ปีต่อมาจึงมีการพัฒนารูปแบบให้มีลักษณะคล้าย Marketplace จับคู่แมตชิ่งระหว่างคนสอนกับคนเรียน จัดตั้งเครือข่ายติวเตอร์ขึ้นจากหลายๆ มหาวิทยาลัย แล้วทำการโปรโมท chulatutordelivery อย่างเต็มรูปแบบ มีการตั้งหัวหน้ากลุ่มคอยบริหารป้อนลูกค้าให้ติวเตอร์ในแต่ละพื้นที่ โดยดูจากทำเลที่ตั้ง เช่น หากเด็กอยู่ศาลายา ก็ป้อนงานให้ติวเตอร์ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ถ้าอยู่ในเมืองก็มีทั้งติวเตอร์ที่เป็นนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังจัดสรรงานตามวิชาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอน ลักษณะติวเตอร์ที่ลูกค้าต้องการ เช่น เด็กขี้อายต้องการติวเตอร์ผู้หญิงไปสอน หรือเด็กซนหน่อยก็ต้องการติวเตอร์ดุๆ ไปสอน เป็นต้น แล้วจัดสรรให้ไปสอนตามความเหมาะสม ถ้าลูกค้าไม่พอใจ ก็สามารถขอเปลี่ยนตัวติวเตอร์ได้หลังการสอนครั้งแรกอีกด้วย
“วิธีการรวมเครือข่ายติวเตอร์ของเรา ส่วนใหญ่ 70% มาจากการบอกต่อแบบปากต่อปาก ส่วนอีก 30% เป็นการสมัครมาด้วยตัวเอง ซึ่งเราก็จะมีการทดสอบความรู้ และทดสอบลักษณะว่าเหมาะสมกับการสอนหรือไม่ หลักๆ ก็ดูว่าเคยมีประสบการณ์การสอนหรือเปล่า และวิธีการรับมือเด็กแต่ละแบบจะทำอย่างไร ซึ่งถ้าทดสอบไม่ผ่านเราก็จะเทรนด์ให้”
ทุกวันนี้ chulatutordelivery มีเครือข่ายติวเตอร์ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ประมาณ 5,000 คน รับสอนทุกระดับชั้นและทุกวิชา รูปแบบการสอนจะต่างจากโรงเรียนกวดวิชาคือลูกค้าไม่ต้องเดินทาง และเป็นการสอนตัวต่อตัว ซึ่งสะดวกต่อการวิเคราะห์และปรับจุดอ่อนของนักเรียนแตกต่างกันไป
สำหรับสัดส่วนลูกค้า ก้องเกียรติ แจกแจงว่า ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมืองประมาณ 65% และปริมณฑล 30% อาทิ บางบัวทอง ทวีวัฒนา สมุทรปราการ นนทบุรี ส่วนอีก 5% เป็นกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในต่างจังหวัด ซึ่งบางครั้งก็ต้องสอนผ่านสไกป์ด้วย
“ลูกค้าส่วนใหญ่จะมากันแบบปากต่อปาก ตอนนี้ 80% จะเป็นการสอนตามบ้าน เพราะผู้ปกครองอยากให้เรียนที่บ้าน จะได้อยู่ในสายตา ไม่ต้องกลัวเด็กเหลวไหลและไม่ต้องเดินทาง ส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะเรียนคนเดียว แต่ยังมีอีก 20% ที่ไปติวกันนอกบ้าน ส่วนใหญ่จะที่สยามและสีลม ตามห้างสรรพสินค้าและร้านกาแฟซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะจับกลุ่มเรียนกับเพื่อน 2-3 คน หรือไม่ก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้เรียนและผู้สอน” ก้องเกียรติ กล่าว
ค่าบริการจะเริ่มต้นที่ 200 บาท/ชม. ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ป.6 ส่วนระดับที่สูงขึ้นมาก็บวกเพิ่มเข้าไปเป็น 220-300 บาท/ชม. แต่มีเงื่อนไขคือสอนครั้งละ 2 ชม. เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการเรียน ดังนั้นรายได้ขั้นต่ำจะอยู่ที่ 400 บาท/ครั้ง ซึ่งถ้าคิดเป็นรายได้ต่อเดือนปัจจุบัน รายได้ของลูกทีมจะอยู่ที่่ 2 หมื่่นบาทขึ้นไป
ขณะที่แนวโน้มตลาดและการแข่งขันนั้น ก้องเกียรติบอกว่า เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีคู่แข่ง หลังจากก่อตั้งchulatutordelivery ขึ้นมา ก็มีเครือข่ายหรือเว็บไซต์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกหลายราย บางรายมาเป็นทีมงานที่นี่แล้วแยกตัวออกไปทำเองก็มี
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วเชื่อว่าตลาดการสอนพิเศษยังคงเปิดกว้างเสมอ ตราบใดที่ระบบการเรียนการสอนในห้องเรียนยังด้อยคุณภาพเช่นนี้ ไม่มีการปฏิรูปการศึกษา ผู้ปกครองก็ต้องจ่ายเพิ่มเพื่ออนาคตลูกหลานตัวเองในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันหนักหน่วง


