ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
สำนวนสุภาษิตนี้ หมายถึง การทำอะไรสักอย่างควรจะทำด้วยความรอบคอบ ไม่ต้องรีบร้อน ทำไปแล้วเก็บรายละเอียดดีๆ
โดย...กำพล สุทธิพิเชษฐ์
สำนวนสุภาษิตนี้ หมายถึง การทำอะไรสักอย่างควรจะทำด้วยความรอบคอบ ไม่ต้องรีบร้อน ทำไปแล้วเก็บรายละเอียดดีๆ ก็จะได้ผลงานออกมาดี ที่มาของสำนวนมาจากการที่เราจะตีพร้าสักเล่มหนึ่ง หากเรารีบร้อนรีบตีก็จะทำให้พร้ามีผิวที่ไม่เนียนและจะไม่แข็งแรง หากค่อยๆ ตีก็จะทำให้พร้ามีความแข็งแรงและสวยงามมากกว่า
วันนี้ที่นึกถึงวลีนี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่าขนาดในอดีตคำพูดนี้ยังถูกต้อง ยิ่งในปัจจุบันยิ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องมากขึ้นไปอีก ทุกวันนี้เราบริโภคข้อมูล สื่อต่างๆ รวมถึงอาหาร และการใช้ชีวิตในอัตราเร็วที่น่ากลัวมากๆ มันเป็นอัตราเร็วที่น่าจะเกินจินตนาการของคนสมัยก่อน ตารางนัดหมายทุกนาทีแน่นเอี้ยดด้วยงาน ทั้งงานธุรกิจและงานบ้าน วิ่งวุ่นไปในแต่ละที่ในช่วงเวลากลางวัน เร่งรีบในช่วงเช้า สุดท้ายก็กลับมานอนหมดแรงตอนสิ้นวัน แล้วก็เป็นแบบนี้ทุกวัน
ผมไม่แน่ใจว่าร่างกายและสมองของเรานั้น ได้ถูกออกแบบให้เหมาะกับอัตราเร็วในชีวิตประจำวันแบบนี้ในทุกๆ วันหรือเปล่า เราอาจรับมือกับความเครียดที่มาเป็นบางครั้งบางคราวได้ แต่เราไม่น่าจะรับมือกับความเครียดที่ถาโถมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในทุกวินาทีที่นับตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน การใช้ชีวิตให้ช้าลงในหลายๆ เรื่อง กลับทำให้เรามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น แถมมีความสุขมากขึ้น เหมือนกับเวลาตีพร้าช้าๆ เราก็จะได้พร้าที่แข็งแรง แถมมีความสวยงามด้วย
เริ่มจากชีวิตการทำงานก่อนเลยครับ เคยคิดที่จะลองทำงานให้ช้าลงไหมครับ ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้แล้วมีคำถามว่าแล้วจะทำทันหรือ ขนาดรีบขนาดนี้แล้วยังไม่ทันเลย แสดงว่าตีความหมายของการทำงานให้ช้าลงผิดไป เคยไหมครับ พยายามทำงานให้มากเข้าไว้ตะบี้ตะบันทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่น่าแปลกใจว่าทำไมงานที่ทำยังไม่ไปถึงไหน งานที่สำคัญกลับทำไม่สำเร็จ เพราะเราพยายามทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กันให้เร็วที่สุด ซึ่งไม่ใช่วิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แถมยังรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาด้วย
ง่ายๆ ครับ เริ่มจากเลือกงานที่สำคัญ แล้วจดจ่อกับมันทั้งงานของที่ทำงานและงานที่บ้านวิธีการเลือกงานก็คือเลือกงานที่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องงานที่ง่าย หลายคนคิดว่าทำงานง่ายๆ ให้เสร็จไปก่อนและค่อยไปทำงานยากๆ เหมือนสมัยเราทำข้อสอบตอนเด็กๆ ที่บอกว่าให้ทำข้อง่ายก่อน อย่าไปเสียเวลากับข้อยาก มันไม่เหมือนกัน เพราะอันนั้นทุกข้อมันคะแนนเท่ากัน (กล่าวคือสำคัญเท่ากัน) แต่ถ้ามีงานสองงาน งานหนึ่งง่ายแต่ไม่สำคัญ อีกงานหนึ่งยากกว่า แต่จะส่งผลต่ออาชีพการงาน หรืออาจจะส่งผลต่อชีวิตเราในระยะยาว เราควรเลือกทำงานหลังก่อน เพราะมันเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ากว่าครับ
กำจัดสิ่งที่ทำให้เราวอกแวกแล้วจดจ่อกับสิ่งที่ทำ หลายครั้งที่เรามีเวลาทำงานน้อยลง จึงทำให้เราต้องทำงานนั้นอย่างรีบๆ เป็นเพราะเราไปเสียเวลากับสิ่งที่ไร้สาระไปเยอะมาก ทุกครั้งที่ทำงานสำคัญคุณปิดอีเมล ปิดโทรศัพท์ ปิดการแจ้งเตือนโปรแกรมสังคมออนไลน์ต่างๆ หรือเปล่า หรือสิ่งใดก็ตามที่มันจะเด้งขึ้นมา หรือส่งเสียงขัดจังหวะความคิดในการทำงาน เคยคำนวณไหมครับว่าเวลาที่ต้องคอยแวบไปมองไปอ่านนั้นเสียไปเท่าไร ไม่น้อยนะครับ ขนาดยังไม่รวมถึงสมาธิที่เสียไป เผลอๆ จะพานทำให้เราเป็นโรคสมาธิสั้นอีกต่างหาก
นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว เรื่องส่วนตัวในชีวิตประจำวันอื่นๆ ถ้าเราทำให้มันช้าลงก็จะส่งผลดีมากกว่าผลเสียเหมือนกัน เช่น การทานอาหาร ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความเร่งรีบ จนไม่อยากใช้คำว่ารีบทานอาหาร น่าจะใช้คำว่าสวาปามแทน จนทำให้ชีวิตเราเครียดขึ้น สุขภาพก็แย่ไปด้วย
ลองดูครับ ทานอาหารให้ช้าลง กัดคำให้เล็กลง เคี้ยวให้นานขึ้น ให้ตุ่มรับรสที่ลิ้นเราได้ซึมซาบกับรสชาติอาหารบ้าง ไม่ใช่อาหารวิ่งผ่านลิ้นแล้วลงท้องไปเลย ไม่น่าเชื่อว่าผลดีของการทานอาหารให้ช้าลงจะมากมายจริงๆ อย่างแรกที่ทุกคนชอบแน่ๆ คือ น้ำหนักจะลดลง เพราะมีงานวิจัยว่าแค่ทานช้าลง เราก็จะลดจำนวนแคลอรีที่บริโภคเข้าไป และน้ำหนักจะลดลง 9 กิโลกรัมต่อปี โดยที่ไม่ต้องทานหรือทำอะไรให้ต่างไปจากเดิม เนื่องจากสมองใช้เวลาประมาณ 20 นาที กว่าจะรับรู้ว่าเราอิ่ม ดังนั้นถ้าทานเร็ว เราจะทานไปเรื่อยๆ จนเกินพอดี ถ้าทานช้าลง เราจะรู้สึกอิ่มและหยุดทานในเวลาที่เหมาะสม อีกทั้งยังดีต่อระบบย่อยอย่างที่เราทราบๆ กัน ว่ายิ่งเคี้ยวช้าและละเอียดมากเท่าไร กระเพาะเราก็ทำงานน้อยลงเท่านั้น
การทำงานหรือกิจกรรมอะไรก็ตามในชีวิต ถ้าเราจดจ่อกับสิ่งที่ทำทีละอย่าง จะมีเวลาทำในเรื่องนั้นมากขึ้นและรอบคอบขึ้น งานหรือกิจกรรมนั้นๆ จะออกมาดีเสมอ ดีมากกว่าการทำหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน และทำด้วยความรีบเร่ง การจดจ่อกับงานสำคัญจะทำให้เราได้ทุ่มเทกับสิ่งที่คุ้มค่า และจะมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น เราจะทำงานที่สำคัญสำเร็จมากขึ้น เมื่อเทียบกับการทำๆ หยุดๆ
น่าเสียดายที่ความวุ่นวายในชีวิตเรา ทำให้ความใส่ใจกระจัดกระจายไร้ทิศทาง เราหันเหความสนใจจากเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่ง จากนั้นก็จะไปใส่ใจกับเรื่องอื่นอีกก่อนที่จะไปยังเรื่องใหม่อีกเรื่อง ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจังเลย แถมยังต้องทำ ด้วยความเร่งรีบตลอดเวลา ลองจดจ่อเฉพาะเรื่องที่สำคัญ ชีวิตจะได้ไม่เครียดกันครับ


