อุตฯลุยรื้อระบบสถาบันเครือข่ายป้องการเมืองแทรก
รมว.อุตฯ ปฏิรูปแนวคิดบริหาร 11 สถาบันเครือข่าย เน้นหลักธรรมาภิบาล ป้องกันการเมืองแทรก
รมว.อุตฯ ปฏิรูปแนวคิดบริหาร 11 สถาบันเครือข่าย เน้นหลักธรรมาภิบาล ป้องกันการเมืองแทรก
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้ 11 สถาบันเครือข่าย ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันอาหาร สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น ปรับกระบวนการทำงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล สามารถตรวจสอบได้ และขอให้ทำงานในเชิงที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าของสถาบันมากขึ้น
ปัจจุบันสถาบันต่างๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมูลนิธิ 4 แห่ง ได้แก่ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ มูลนิธิสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติมูลนิธิสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมูลนิธิสถาบันก่อสร้าง ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาด้านการบริหารจัดการ คือมีช่องโหว่ให้นักการเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ทำให้ไม่สามารถดำเนินงานได้เต็มที่ ดังนั้นแนวทางหลักในการปรับปรุงการทำงานจะต้องทำให้สถาบันฯ ต่างๆ เป็นอิสระจากการเมือง เปิดทางให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารองค์กร
“ได้ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมไปหารือกับคณะกรรมการมูลนิธิ และสถาบันต่างๆ เพื่อวางกลไกป้องกันไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานได้ รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร และยุทธศาสตร์ของแต่ละสถาบัน โดยรัฐมนตรีมีหน้าที่เพียงกำหนดนโยบายให้แต่ละสถาบันดำเนินงาน ส่วนการแต่งตั้งผู้อำนวยการและการบริหารงานต่างๆ จะเป็นอำนาจของคณะกรรมการมูลนิธิ และผู้อำนวยการสถาบัน โดยจะขีดเส้นระบบการทำงานของฝ่ายการเมืองให้ชัดเจน เพื่อให้สถาบันฯ มีอิสระในการทำงานเต็มที่”
ด้าน นางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สถาบันภายใต้การดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรมสามารถหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากค่าทดสอบผลิตภัณฑ์ การออกใบรับรอง และการรับจ้างกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานต่างๆ ในการวิจัยทางวิชาการ และงบสนับสนุนจากกระทรวงอุตสาหกรรมมีเพียงสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ที่ยังมีผลประกอบการขาดทุน เนื่องจากมีรายได้จากการทดสอบน้อยกว่าสถาบันอื่น เช่น สถาบันอาหาร สถาบันยานยนต์ และสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“ขณะนี้ได้สั่งการให้สถาบันเหล็กฯ ไปหาแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงาน และส่งกลับไปให้มูลนิธิฯ พิจารณา หากพบว่าเป็นแผนงานที่สามารถฟื้นฟูสถาบันเหล็กได้ ก็จะยังคงดำเนินงานต่อไป แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็อาจจะต้องยุบรวมสถาบันเหล็กเข้ากับสถาบันไทย-เยอรมัน เนื่องจากมีการดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกลคล้ายกัน” นางอรรชกา กล่าว
ส่วนงบประมาณสนับสนุนสถาบันฯต่างๆนั้น ในปี 2558 มีประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงบของสถาบันอาหารในการจัดทำโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก โครงการครัวไทยครัวสุขภาพ เป็นต้น ภายใต้งบประมาณ 300 ล้านบาท รองลงมาเป็นสถาบันไทย-เยอมัน และสถาบันเพิ่มผลผลิต เป็นต้น ขณะที่สถาบันอาหารนั้น นายเพ็ชร ชินบุตร ผู้อำนวยการสถาบันฯได้ยื่นใบลาออกมาตั่งแต่เดือน ม.ค.2558 และจะมีผลปลายเดือน มี.ค.นี้ โดยคาดว่าภายในกลางเดือนจะมีการสอบสัมภาษณ์ และสามารถตั้งผู้อำนวยการคนใหม่ได้ในช่วงปลายเดือนนี้
ทั้งนี้การที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ทั้ง 11 สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องเตรียมความพร้อม โดยให้พิจารณาเรื่องความเชื่อมโยงกับ 10 ชาติในอาเซียนภายใต้บริบทของแต่ละสถาบัน พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่มีจำกัด ขณะที่ประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ


