เสน่ห์ผ้าไทย ‘เอมจิตต์’ สำเพ็ง
ศูนย์ค้าส่งที่ใหญ่สุดในประเทศแห่งหนึ่ง อย่าง “สำเพ็ง” เป็นแหล่งรวมศูนย์ค้าส่งผ้า เครื่องเขียน
ศูนย์ค้าส่งที่ใหญ่สุดในประเทศแห่งหนึ่ง อย่าง “สำเพ็ง” เป็นแหล่งรวมศูนย์ค้าส่งผ้า เครื่องเขียน และของใช้ต่างๆ มากมาย หนึ่งในร้านค้ารุ่นบุกเบิกของสำเพ็ง คือ เอมจิตต์ ที่ เปิดร้านผ้าลายไทยมานานกว่า 40 ปี วันนี้กำลังเผชิญโจทย์สำคัญเพราะความนิยมการใส่ผ้าไทยลดลง โดยเฉพาะผ้าถุง ทำอย่างไรให้ผ้าไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
“สุกัลยา ลิมป์รัชตามร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอมจิตต์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของแบรนด์ “เอมจิตต์” (Emchit) เปิดเผยว่า อยู่ในตลาดมา 40 ปี เริ่มจากรุ่นคุณพ่อและคุณแม่ เมื่อเข้ามาบริหารรุ่นที่ 2 ได้ขยายธุรกิจด้วยการจัดตั้งบริษัท ลายไทย อินเตอร์เทรด ทำธุรกิจส่งผ้าลายไทยไปต่างประเทศ และบริษัท เอมเฮ้าส์ ที่ผลิตผ้าเรยอนส่งออกไปต่างประเทศและหมู่เกาะต่างๆ ทั่วโลก
ปัจจุบันที่คนไทยนิยมใส่ผ้าถุงหรือผ้าลายไทยลดลงนั้น บริษัทก็ได้ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปรับดีไซน์ผ้าใหม่ จากทีมออกแบบดีไซน์ของบริษัท ให้มีดีไซน์แฟชั่นยิ่งขึ้น รวมทั้งทำให้ผ้าลายไทยสามารถดัดแปลงเป็นสินค้าได้หลายกลุ่ม ตั้งแต่เสื้อผ้า เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องใช้ในบ้าน ทั้งผ้าม่าน หรือวอลเปเปอร์ในบ้านได้ จึงเริ่มเห็นคนรุ่นใหม่อายุ 20 ปีขึ้นไป นิยมซื้อผ้าไทยไปทำเป็นของใช้ หรือเสื้อผ้าแบบใหม่เพิ่มขึ้น จากเดิมลูกค้าจะมีอายุ 30 ปีขึ้นไป
การทำตลาดต่างประเทศ ได้ขยายกลุ่มลูกค้าไปยังร้านค้าสปาต่างๆ ให้หันมาใช้ผ้าไทยในร้านมากขึ้น เช่น ชุดสปาที่เป็นผ้าไทย หรือผ้าลายไทย ซึ่งพบว่าตลาดในต่างประเทศขยายตัวได้ดีเช่นกัน โดยตลาดส่งออก อาทิ อาเซียน สหรัฐ และยุโรป รวมทั้งได้เพิ่มช่องทางทำตลาดผ่านในเว็บไซต์เพื่อให้ลูกค้าต่างประเทศสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าในประเทศก็สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านไลน์ได้ทันทีเช่นเดียวกัน
พร้อมกันนี้ ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมุ่งเน้นผลิตผ้าไทย ที่มีทั้งผ้าถุง ผ้าลายไทย ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง ผ้าปาเต๊ะ ผ้าพื้นเมือง ให้มีความเป็นแฟชั่น นำเทรนด์ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม มีลวดลายผ้าแบบต่างๆ ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ธุรกิจแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงรักษาคำว่า คุณภาพ และความซื่อสัตย์ ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นกับแบรนด์มายาวนาน
ปัจจุบัน เอมจิตต์มีร้านอยู่ในสำเพ็ง 2 แห่ง และมีโกดังเก็บสินค้าอยู่ในเจริญนคร มีพนักงานไม่ต่ำกว่า 40 คน สัดส่วนยอดขายจากในประเทศ 80% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าส่งให้แก่ตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ และส่งออก 20% ขณะที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) นั้น ไม่มีผลกับบริษัทมากนัก เพราะมีตัวแทนจำหน่ายมาซื้อสินค้าไปขายในพื้นที่ชายแดนอยู่แล้ว ทั้งจากพม่าและกัมพูชา
“ที่ผ่านมามีร้านค้าที่จำหน่ายผ้าไทยในสำเพ็งจำนวนหลายราย แต่ปัจจุบันลดลงมาก เหลือเพียง 2-3 ร้านที่จำหน่ายผ้าไทย เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัย
ล บต่างๆ รวมถึงความนิยมใส่ผ้าลายไทยลดลง เช่น ผ้าถุง กลุ่มคนใส่ลดลงต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ปรับตัวมาตลอด ส่งผลให้ธุรกิจยังขยายตัวได้ อีกทั้งเสน่ห์ของผ้าไทยอยู่ที่ใส่สบาย มีความคงทน เป็นผ้าจากวัสดุธรรมชาติ และลวดลายสวยงาม” สุกัลยา กล่าว
อย่างไรก็ตาม อยากเสนอไปยังภาครัฐควรให้ความสำคัญหรือมีนโยบายส่งเสริมการใช้ผ้าไทยมากขึ้น เพื่อปลุกตลาดให้ผ้าไทยกลับมาคึกคัก เห็นได้จากในปีก่อน ภาครัฐส่งเสริมใช้ผ้าขาวม้า ทำให้ยอดขายผ้าขาวม้าเติบโตขึ้น 200-300% ทันที หากผ้าไทยมีนโยบายส่งเสริมจริงจัง เชื่อว่าตลาดรวมผ้าไทยจะต้องเติบโตมากขึ้น ขณะเดียวกันในตลาดสำเพ็งได้มีการรวมกลุ่มเป็น “สมาคมพ่อค้าผ้าสำเพ็ง” ที่มีสมาชิกรวมประมาณกว่า 300 ราย เพื่อร่วมทำกิจกรรมและส่งเสริมผู้ประกอบการในด้านต่างๆ
“สุกัลยา” กล่าวต่อว่า ตั้งเป้าหมายจะสร้างแบรนด์ “เอมจิตต์” เพื่อให้ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศรู้จักมากขึ้น มุ่งใช้ดีไซน์ นำหน้าธุรกิจ รวมทั้งต้องการกระตุ้นให้ความนิยมผ้าไทยกลับมาอีกครั้ง คาดว่าในปีนี้ยอดขายของบริษัทจะเติบโต 5% จากปีก่อน ถือว่าอยู่ในระดับน่าพอใจ


