ครม.ไฟเขียวกม.8ฉบับรองรับศก.ดิจิทัล
ครม.เห็นชอบ ร่างกฎหมาย 8 ฉบับ รองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล-กระทำผิดออนไลน์ พร้อมแก้กฎหมาย กสทช. ยกเลิก กสท.-กทช.
ครม.เห็นชอบ ร่างกฎหมาย 8 ฉบับ รองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล-กระทำผิดออนไลน์ พร้อมแก้กฎหมาย กสทช. ยกเลิก กสท.-กทช.
ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติให้ความเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ จำนวน 8 ฉบับ ประกอบด้วย
1. พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ (เป็นการโอนสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2545)
2. พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะการทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การให้สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นหน่วยงานกลาง
3. พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้มีคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ (เป็นการโอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทุนและทรัพย์สิน ของสำนักความมั่นคงปลอดภัย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ไปเป็นของสำนักงานตามพระราชบัญญัตินี้)
4. ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้หรือเปิดเผย และข้อปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งสามารถทำให้ระบุตัวบุคคลนั้นได้ สิทธิของเจ้าของข้อมูล หลักเกณฑ์การร้องเรียน และการให้มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
5. ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ และการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
6. ร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเป็นการจัดตั้งกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และให้มีคณะกรรมการกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
7. ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เป็นการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ให้ยกเลิกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่
8. ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอกนิกส์ (องค์การมหาชน)
ร.อ.ยงยุทธ กล่าวว่า การมีกฎหมายลักษณะดังกล่าว จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยประสบผลสำเร็จ การมีโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศไปสู่ยุคของสังคมดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ จึงมีความจำเป็นต้องทบทวนและพิจารณาความพร้อมของกฎหมายภายในประเทศ เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับการวางโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายให้มีความพร้อมนี้จำเป็นต้องดำเนินการ ทั้งในมิติของการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศสามารถพัฒนาไปสู่ยุคของสังคมดิจิทัลได้
ขณะที่ การดำเนินการ ปกป้องดูแล และคุ้มครองให้การดำเนินการในยุคของสังคมดิจิทัลมีความปลอดภัยในคราวเดียวกัน โดยกฎหมายที่ควรมีการพัฒนา เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบด้วย
1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นกฎหมายที่นำไปสู่การยอมรับผลทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทริอนิกส์ให้มีผลเช่นเดียวกับกระดาษ
2. กฎหมายที่ป้องปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ ที่มีรูปแบบและวิธีการต่างไปจากความผิดโดยทั่วไป
3. กฎหมายที่พร้อมรับมือกับการจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการโจมตีทั้งในระดับองค์กรและประเทศ
4. กฎหมายที่คุ้มครองแก่ประชาชนในการใช้ชีวิตในโลกเทคโนโลยีดิจิทัลให้มีเป็นส่วนตัว ปราศจากการละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล ที่มักเป็นเป้าหมายในการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ไม่พึงประสงค์ โดยร่างทั้งหมดจะส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นต่อไป


