ทายาทรุ่น2ตำนานกระเป๋า ลุยเปิดแบรนด์ใหม่ ‘อูม’

ตลาดกระเป๋าเดินทางในประเทศไทย ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตในระดับสองหลักต่อเนื่องหลายปี เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นไลฟ์สไตล์ของคนไทยทุกคน รวมถึงคนทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดกระเป๋าเดินทางเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง และมีหลายแบรนด์ในประเทศ แต่อีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี และธุรกิจเติบโตอย่างสดใส คือ “โรม่า โปโล” กำลังเข้าสู่ช่วงทายาทรุ่น 2 เข้ามาร่วมขยายธุรกิจแล้ว

“ฐานิดา รัถยาพิมล” ที่ปรึกษาด้านการตลาด บริษัท โรม่าอุตสาหกรรม ผู้บริหารแบรนด์กระเป๋า โรม่า โปโล (Romar Polo) และแบรนด์อื่นๆ ในเครือ ในฐานะทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาร่วมบริหารและได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดคือ อูม (Oom) ได้มุ่งดีไซน์กระเป๋าให้มีความทันสมัย ใส่ความเป็นแฟชั่นและเป็นวัยรุ่นมากขึ้น

“บริษัทเริ่มต้นจากคุณพ่อ ชัยรัตน์ รัถยาพิมล เจ้าของบริษัท ที่เป็นผู้บุกเบิกและเริ่มสร้างทุกอย่าง ทำให้บริษัทขยายธุรกิจได้อย่างดีมาจนถึงปัจจุบัน และคุณพ่อก็ยังบริหารบริษัทอยู่ เราเมื่อเรียนจบก็เข้ามาช่วยบริษัท มีแนวคิดอยากสร้างแบรนด์ใหม่ เพื่อให้ธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น” ฐานิดา กล่าว

 

พร้อมกันนี้ มีการออกแบบลวดลายผ้าของกระเป๋าให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น มีลวดลายแบบเฉพาะ (Signature) ที่ไม่เหมือนแบรนด์รายอื่น มีลายผ้าปักที่มีเอกลักษณ์ ส่งผลให้แบรนด์มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น รวมทั้งได้ออกแบบกระเป๋าให้มีหลายขนาด ไม่จำกัดเฉพาะกระเป๋าเดินทาง ยังรวมถึงกระเป๋าใช้งานขนาดเล็ก กระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเจาะตลาดระดับกลาง เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถใช้สินค้าได้ อีกทั้งได้มีการสร้างนวัตกรรมให้แก่กระเป๋า ทั้งกระเป๋าผ้าสามารถกันน้ำได้ กระเป๋าที่มีน้ำหนักเบามากขึ้น แต่คงมีความทนทานเหมือนเดิม เพราะบริษัทมีแผนกวิจัยและพัฒนาสินค้า (อาร์แอนด์ดี) ที่เป็นนโยบายที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุด

 

ช่องทางจำหน่ายจะเริ่มจากเว็บไซต์ออนไลน์ และช่องทางอีคอมเมิร์ซ อีกทั้งกำลังหาตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศเพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า และสนใจเปิดช็อปสาขาเดี่ยว (สแตนด์อะโลน) ในอนาคต

“การเข้ามาช่วยร่วมบริหารธุรกิจครอบครัว ก็ต้องมีการพูดคุย หารือ ปรึกษากับคุณพ่อตลอด และการเปิดแบรนด์ใหม่ก็เป็นการทำในสิ่งที่บริษัทถนัด คือ การผลิตกระเป๋าทุกรูปแบบอยู่แล้ว” ฐานิดา กล่าว

ขณะที่แบรนด์หลักคือ “โรม่า โปโล” ทำตลาดมานานกว่า 30 ปี เริ่มจากรุ่นคุณพ่อ ก็เน้นช่องทางจำหน่ายผ่านศูนย์ค้าส่งต่างๆ ทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก และยังรับผลิตกระเป๋าตามแบบ (ออร์เดอร์) ที่ลูกค้าต้องการ โดยมีรูปแบบกระเป๋าให้เลือกมากกว่า 1 หมื่นแบบ สัดส่วนการผลิตสินค้าจะแบ่งเป็น ผลิตเพื่อแบรนด์ของบริษัทในสัดส่วน 35% ผลิตโออีเอ็มและส่งออกไปต่างประเทศสัดส่วน 65% ซึ่งมีการส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 10 ประเทศ

 

จุดเด่นของแบรนด์ที่ทำให้ลูกค้านิยมเลือกซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องมาจากการที่แบรนด์มีคุณภาพ เพราะยึดมั่นกับคำว่าคุณภาพมานานถึง 30 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ และกระเป่าเดินทางเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับกระเป๋าเดินทางแบบอื่น อีกทั้งวางราคาขายในระดับปานกลาง ส่งผลดีให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเลือกใช้ได้ และไม่ต้องการขายสินค้าในราคาแพง ทั้งนี้ในปัจจุบันมียอดการผลิตกระเป๋าทุกแบบอยู่ที่ 2-3 แสนใบ/เดือน

“สิ่งที่บริษัทยึดมั่นมายาวนาน คือ คุณภาพ ผลิตตามที่ลูกค้าต้องการ ให้ความซื่อสัตย์กับลูกค้า มีราคาขายแบบคุ้มค่า ลูกค้ามีความเชื่อมั่นกับแบรนด์ โดยบริษัทสามารถขายสินค้าในราคาสูงได้ แต่ไม่ได้ต้องการขายราคาแพง เพราะอยากให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถใช้งานได้” ฐานิดา กล่าว

ส่วนปัจจัยลบในประเทศทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวและการเมืองนั้น ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เพราะมีออร์เดอร์จากลูกค้าหลักที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ สั่งให้ผลิตกระเป๋าระดับบน (พรีเมียม) ทำให้ยอดการผลิตสินค้ายังขยายตัวได้ในระดับที่ดีอยู่ ขณะเดียวกันปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ถือเป็นวัฏจักรที่ต้องเกิดขึ้นตามปกติ บริษัทมีแผนงานต่างๆ เตรียมพร้อมรับมือ

 

แผนการของบริษัทต่อจากนี้จะมุ่งขยายตลาดแบรนด์เข้าไปในตลาดอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เชื่อว่าตลาดกระเป๋าเดินทางจะเติบโตดี ถือว่าการที่บริษัทมีสินค้าครบวงจร เป็นโรงงานที่ผลิตกระเป๋าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีความเชี่ยวชาญในการผลิตกระเป๋าสูง มีเอกลักษณ์ ดีไซน์ของกระเป๋าที่มีรูปแบบเฉพาะตัว ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นในทุกปี

แนวคิดทำธุรกิจกระเป๋าเดินทาง “อูม”

- ใช้นวัตกรรมพัฒนาสินค้า

- รักษาคุณภาพสินค้า และความคงทน

- ดีไซน์แฟชั่นและมีแบบซิกเนเจอร์

- วางราคาขายระดับปานกลาง