‘TUF’ คว้า 3 รางวัลใหญ่

ปี 2557 น่าจะเป็นอีก 1 ปีที่ทาง บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำปลาทูน่ากระป๋องอันดับหนึ่งของโลก ได้รับรางวัลจากหลายเวทีในฐานะที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

รางวัลแรก คือ ได้รับเลือกจาก Superbrands ประเทศอังกฤษ ให้เป็นแบรนด์ชั้นนำที่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในประเทศ รางวัลที่สอง คือ “Thailand’s Corporate Brand Rising Stars 2014” ขึ้นแท่นเป็น “บริษัทที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด” ในหมวดอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร จากจำนวนบริษัทจดทะเบียน 46 บริษัท โดยเป็นงานวิจัยสาขาวิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรางวัลที่ 3 ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) ประจำปี 2557 ในกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หมวดอุตสาหกรรมอาหาร และยังเป็นบริษัทอาหารแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิก DJSI นี้

ทั้งนีี้ สำหรับการได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

“ศศินันท์ ออลแมนด์” ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร TUF เปิดเผยถึงปัจจัยที่ทำให้บริษัทได้รับรางวัลทั้งหมดนี้ เป็นเพราะดีเอ็นเอของ TUF การประกอบธุรกิจตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ทางผู้ก่อตั้งและผู้บริหารได้พยายามสื่อสาร หล่อหลอมต่อยอดจนกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรที่พนักงานทุกคนเข้าใจการปฏิบัติและเป้าหมายในการทำงานทิศทางเดียวกัน โดยมีกุญแจที่เป็นนโยบายหลักขององค์กร 5 อย่าง หนึ่ง คือ เรื่องการดูแลคนที่ปัจจุบันจ้างงานกว่า 3.5 หมื่นตำแหน่งไปทั่วโลก และสามารถรองรับการขยายงานและการแข่งขันทั่วโลก ขณะที่บริษัทพร้อมเข้าใจพนักงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายโรงงานในประเทศไทยจาก จ.สมุทรสาคร และ จ.ตรัง รวมถึงพนักงานทั่วไปได้อย่างถึง และทำให้ทุกคนรู้สึกมีความสุขต่อการทำงาน เพราะถ้ามีความสุขก็จะส่งผลต่อภาคการผลิต ทำให้กระบวนการผลิตผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

สอง คือ ความโปร่งใสในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะบุคคลภายนอกหรือผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ประชาชน หรือเอ็นจีโอ ที่จะต้องให้ข้อมูลอย่างจริงใจและดำเนินการไปด้วยความโปร่งใส รวมถึงการให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนอย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ลงทุนทุกประเภทได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล เช่น การที่ผู้บริหารมาให้ข้อมูลในวันพบนักลงทุน (ออฟเดย์) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งข้อมูลของนักวิเคราะห์ ทั้งในกรณีที่มีปัจจัยบวกหรือลบต่อบริษัท ก็พร้อมที่จะดำเนินการให้ทุกฝ่ายเข้าถึงแหล่งข้อมูลว่าสิ่งที่บริษัททำดำเนินการได้อย่างถูกต้องของกฎเกณฑ์ กฎหมาย และบริบทภาคสังคมหรือไม่อย่างไร

สาม คือ ให้กระบวนการผลิตสามารถเดินหน้าผลิตสินค้าที่มีคุณภาพออกไปสู่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตทุกคนต่างรู้สึกมีความสุขในการทำงาน และผลผลิตที่ได้ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณภาพและพร้อมส่งต่อให้กับผู้บริโภคพึงพอใจมากที่สุด

สี่ คือ การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ต้องบริหารธุรกิจให้ครบสามมิติ คือ ด้านแหล่งวัตถุดิบ สังคม และชุมชน เช่น ดูแลชุมชนที่อยู่ใกล้กับบริเวณโรงงาน การดูแลพนักงานโรงงานที่เป็นคนต่างชาติ ซึ่งเป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของบริษัท ดังนั้นต้องมีการดูแลพวกเขาอย่างดี มีการดูศูนย์ดูแลสุขภาพ มีศูนย์ดูแลเด็กก่อนวัยเรียน เพื่อช่วยบรรเทาพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานให้บริษัท รวมถึงการให้ทางเอ็นจีโอได้เข้ามาดูแลหรือเข้าถึงในกลุ่มแรงงาน หรือการเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ในด้านต่างๆ ของอุตสาหกรรมการประมง เพื่อช่วยอนุรักษ์การทำประมงแบบดั้งเดิมที่ใช้เบ็ดตกปลา และบริษัทเป็นผู้ช่วยหรือตัวกลางในการรับซื้อ

ข้อสุดท้าย คือ ต้องมีนวัตกรรม โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ TUF พยายามจะสื่อสารออกมาให้เห็นว่า บริษัทที่ผลิตและจำหน่ายทูน่าอันดับหนึ่งของโลกนั่นเป็นบริษัทของคนไทย อีกทั้งยังมีแบรนด์สินค้า อื่นๆ อีกมากมายในต่างประเทศที่บริษัทได้เข้าไปซื้อกิจการมา เพราะคนไทยจะรู้จักเพียงซีเล็คทูน่ากับปลาเส้นฟิชโช ตรงนี้อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทได้รับรางวัลด้านแบรนด์สินค้ามาถึง 2 รางวัล

แต่หลังจากนี้ 3-4 ปี TUF จะต้องเป็นบริษัทที่มีการใช้นวัตกรรมมาเป็นส่วนผสมในการผลิตมากขึ้น เพราะในอุตสาหกรรมอาหารนวัตกรรมถือว่ามีความสำคัญมากต่อภาวะการแข่งขันในอนาคต และสิ่งที่ท้าทายกับธุรกิจตอนนี้ คือ เรื่องของบุคลากรที่ต้องรับพนักงานและพัฒนาพนักงานให้รองรับการเติบโตของบริษัทอนาคตให้ได้ เพราะต่อไปนี่คือการแข่งขันระดับโลกที่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้คือคำตอบที่ทำให้ TUF ได้รับทั้งสามรางวัลมาครอง